5 นาฬิกา GMT ที่น่าสนใจ
ในโลกของนาฬิกาจะมีนาฬิกาหลากหลายรูปแบบเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ถึงแม้หน้าที่หลักของนาฬิกาจะเป็นการบอกเวลาก็ตาม สำหรับคนที่ชอบเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ เวลาเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการสิ่งต่าง ๆ ฉะนั้นนาฬิกา GMT จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพราะมันสามารถแสดงเขตเวลาที่ต่างกันสองเขตได้พร้อมกัน และยังสามารถเสริมบุคลิกให้ดูภูมิฐานมากยิ่งขึ้น ดูเป็นคนมีสไตล์ และเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบเดินทางหรือท่องเที่ยว เพราะจะสามารถใช้งานนาฬิกาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในครั้งนี้ Auction House จะพาทุกคนมาดูดีไซน์และรายละเอียดของนาฬิกา GMT ทั้ง 4 เรือนว่ามีลักษณะและสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

Rolex GMT Master II
เริ่มต้นด้วย GMT-Master II ที่เปิดตัวในปี 1982 ได้รับการสืบทอดมาจากนาฬิการุ่นแรก ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแสดงเวลาสองเขตได้พร้อมกัน ด้วยระบบการทำงานใหม่ที่ง่ายต่อการใช้งาน คือรุ่นเดิมนั้นเข็มแสดงเวลาปัจจุบัน เข็มนาที และเข็ม 24 ชั่วโมงจะมีการซิงโครไนซ์กัน คือถ้าหมุนเข็มชั่วโมงเข็มนาทีก็จะหมุนตามไปด้วย แต่ในรุ่นใหม่มีการพัฒนากลไกที่ช่วยให้เข็มชั่วโมงสามารถปรับตั้งได้อย่างอิสระ ทำให้สามารถแยกปรับเวลาและวันที่ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Set) เพิ่มความสะดวกให้กับผู้สวมใส่มากยิ่งขึ้น พร้อมการผสมผสานระหว่างระบบการทำงานที่โดดเด่นและทนทานมากยิ่งขึ้น ทำให้ GMT-Master II เป็นที่จดจำได้ทันทีเมื่อเห็นเป็นครั้งแรก โดยขอบหน้าปัด Cerachrom สองสีแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนสำหรับเวลากลางวันและส่วนของเวลากลางคืน ซึ่ง Rolex ได้พัฒนาเทคนิคพิเศษเพื่อสร้างสรรค์ขอบหน้าปัด Cerachrom สีแดงและสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของ GMT-Master รุ่นแรก ตัวเรือน Oyster ขนาด 40 มิลลิเมตร มาพร้อมสาย Jubilee ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3285 กันน้ำได้ 100 เมตร สำรองพลังงานได้มากถึง 70 ชั่วโมง ราคา 331,200 บาท

Tudor Black Bay Automatic GMT
มาต่อกันที่ Tudor Black Bay Automatic GMT ที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับ Rolex GMT-Master เนื่องจากเป็นบริษัทลูกนั่นเอง โดยมีหน้าปัดสีดำทรงโดม โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดสีน้ำเงิน - แดงไวน์ ปลายเข็มถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับ Snowflake อันเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิกาแบรนด์ ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีล 316L ขนาด 41 มิลลิเมตร ซึ่งหน้าปัดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาดำน้ำของ TUDOR ในปี 1950 รวมถึงเม็ดมะยมขนาดใหญ่เพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้นก็มาจากแรงบันดาลในการออกแบบจากนาฬิกาดำน้ำเช่นเดียวกัน โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน GMT ที่สามารถแสดงเวลาได้ 2 ไทม์โซน สเกลบนขอบหน้าปัดเป็นแบบ 24 ชั่วโมงสำหรับใช้ในการดูเวลาที่ 2 ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre MT5652 โดยกลไกนี้ได้ผ่านการรับรองความเที่ยงตรงจาก COSC สามารถสำรองพลังงานลานได้ 70 ชั่วโมง และกันน้ำได้ 200 เมตร ราคาอยู่ที่ 140,600 บาท

Breitling Automatic GMT 45 Red Arrow Limited Edition
ต่อมาเป็นรุ่นนักบิน Breitling Automatic GMT 45 Red Arrow Limited Edition นาฬิกาที่แข็งแกร่งและทนต่อแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นการยกย่องและชื่นชมทีมกองทัพอากาศหรือที่เรียกว่า Red Arrows ทางแบรนด์จึงออกนาฬิการุ่นนี้มา โดดเด่นด้วยหน้าปัดน้ำเงินที่มาพร้อมกับสัญลักษณ์ที่สื่อถึงฝูงบิน Red Arrow จำนวน 9 ลำ อยู่ตรงบริเวณตำแหน่ง 9 นาฬิกา ตัวเรือนเป็นสแตนเลสสตีล ขนาด 45 มิลลิเมตร จับคู่กับสายนาฬิกาวัสดุเดียวกันได้อย่างลงตัว เม็ดมะยมขนาดใหญ่เพื่อง่ายต่อการหมุนในขณะใส่ถุงมือ มีหน้าต่างวันที่อยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา โดดเด่นด้วยเข็ม GMT สีแดงที่บอกเวลาไทม์โซนที่ 2 ตัดกับสีหน้าปัดทำให้อ่านเวลาได้ง่าย ด้านหลังตัวเรือนมีการสลักเป็นสัญลักษณ์ของ Red Arrow ที่เหมือนนกอินทรีย์กางปีกบิน ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน Cariber Breitling 32 สามารถสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 220 เรือน ราคาประมาณ 167,000 บาท

Grand Seiko Blue Ceramic Hi-beat GMT “Special” Limited Edition
ถัดมาเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Grand Seiko เปิดตัว Grand Seiko Blue Ceramic Hi-beat GMT “Special” Limited Edition เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีของกลไกอัตโนมัติคุณภาพสูง Cal.9S จึงได้นำระบบ Caliber 9S86 มาใช้ และปรับแต่งเพื่อให้ได้มาตรฐานตามแบบฉบับของ Grand Seiko ที่มีความแม่นยำอยู่ที่ +4/-2 วินาทีต่อวัน ได้มีการนำเซรามิกเซอร์โคเนียกลับมาใช้ในนาฬิการุ่นนี้ ซึ่งเป็นวัสดุชนิดพิเศษที่แข็งกว่าโลหะสแตนเลสถึงเจ็ดเท่า และสามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ตัวเรือนขนาด 46.4 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน GMT ที่สามารถแสดงเวลาได้ 2 ไทม์โซน ลักษณะเด่นของการดีไซน์อยู่ที่หน้าปัดสีน้ำเงินที่มีลวดลายประณีตอ่อนช้อย โดดเด่นด้วยเข็มชี้สีน้ำเงินปลายสีแดงและเข็ม 24 ชั่วโมงที่ทำจากโลหะอบให้แข็ง สายนาฬิกาและตัวเรือนมีองค์ประกอบที่เป็นเซรามิกสีน้ำเงินเช่นกัน ส่วนโลโก้ “SPECIAL" ก็เป็นการแสดงถึงความแม่นยำที่เหนือกว่าของนาฬิการุ่นนี้ จึงมีการสลักข้อความ “SPECIAL” ไว้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาบนหน้าปัด เมื่อพลิกไปด้านหลังจะเห็นตราสัญลักษณ์ราชสีห์ นาฬิการุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 350 เรือนเท่านั้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 450,000 บาท

Patek Philippe Nautilus 5990
ปิดท้ายด้วยนาฬิการุ่นนี้ที่เปิดตัวในปี 2014 และเป็นนาฬิกาโครโนกราฟที่มาแทน 5980/A มีชื่อว่า Travel Time ตัวเรือนยังคงผลิตจาก Stainless steel ขนาดตัวเรือน 40.5 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่น Chronograph ที่มีระบบบอกวันที่ตรงตำแหน่งเลข 12 และวางตัวจับเวลาไว้ที่ตำแหน่งเลข 6 โดยความพิเศษอีกอย่างของ 5990/1A คือฟังก์ชั่น Time zone ที่สามารถระบุได้ถึง 2 ไทม์โซน และ Day-night Display ที่สามารถระบุ “เวลาท้องถิ่น” และ “เวลาที่บ้าน” เป็นประโยชน์มากสำหรับใครที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ รุ่นนี้ ราคามือหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,700,000 บาท
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่