Auction House Logo

แนะนำ 7 สุดยอดนาฬิกาจากงาน GPHG 2022 | Auction House

แนะนำ 7 สุดยอดนาฬิกาจากงาน GPHG 2022 | Auction House

แนะนำ 7 สุดยอดนาฬิกาจากงาน GPHG 2022 | Auction House

ดูวิดีโอ 7 สุดยอดนาฬิกาจากงาน GPHG 2022 | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

งานประกาศรางวัล Grand Prix d’Horlogerie de Genève หรือ GPHG เป็นงานประกาศรางวัลนาฬิกาที่ยิ่งใหญ่สำหรับโลกแห่งการบอกเวลา ซึ่งงานประจำปี 2022 นี้ จัดที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีนาฬิกาที่ได้รับรางวัลในแต่ละสาขารวมทั้งสิ้น 20 รุ่น ซึ่งวันนี้เราจะยกนาฬิกา 7 รุ่นมานำเสนอให้ทุกคนได้ฟังกัน ว่าแต่ละรุ่นมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

Complication Watch Prize

Complication Watch Prize หรือ รางวัลนาฬิกาสุดสลับซับซ้อน ตัดสินจากความสร้างสรรค์และความซับซ้อน ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 รางวัล สำหรับนาฬิกาผู้ชายและนาฬิกาผู้หญิง และแบรนด์ที่สามารถชนะสองรางวัลนี้ไป ก็คือ Hermès กับรุ่น Arceau Le Temps Voyageur ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่จัดงาน Grand Prix มา ที่มีนาฬิการุ่นเดียวกันชนะถึง 2 รางวัลใหญ่

จุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้อยู่ที่กลไก Travelling Time ที่มีความสลับซับซ้อน และเป็นการบอกเวลาที่แปลกใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยการทำงานของนาฬิการุ่นนี้จะเป็นการผสมผสานฟังก์ชัน GMT เข้ากับ Worldtimer ได้อย่างลงตัว ซึ่งจุดเด่นของนาฬิกาอยู่ที่หน้าปัดย่อยสามารถเคลื่อนที่ได้ และจะหมุนไปรอบหน้าปัดตามไทม์โซนที่เราเลือก โดยเข็มชั่วโมงในหน้าปัดย่อยก็จะถูกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ นับว่าเป็นการบอกเวลา World Time ที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใครเลย

ส่วนการออกแบบลวดลายบนพื้นหน้าปัดใหญ่จะแกะสลักเลเซอร์เป็นภาพมหาสมุทรต่าง ๆ พร้อมทั้งชื่อทวีปด้วย ซึ่งหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่านี่ไม่ใช่แผนที่โลก แต่นี่คือดาวเคราะห์จำลองที่ถูกจินตนาการและสร้างสรรค์ขึ้นโดย Jérôme Colliard ซึ่งเป็นการผสมผสานความเป็น Hermès ให้เข้ากับกลไกอันซับซ้อนในรูปแบบใหม่ได้อย่างลงตัวและสวยงาม

โดยเรือนที่ชนะรางวัลสาขา Men's Complication จะเป็นเรือนสีดำ วัสดุไทเทเนียม ขนาดหน้าปัดที่ 41 มิลลิเมตร ส่วนเรือนที่ชนะรางวัลสาขา Ladies' Complication จะเป็นเรือนสีน้ำเงิน วัสดุสเตนเลสสตีล ขนาดหน้าปัด 38 มิลลิเมตร

Innovation Prize

Innovation Prize หรือ รางวัลสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี ซึ่งแบรนด์ที่ได้รับรางวัลนี้ ได้แก่ Van Cleef & Arpels กับรุ่น Lady Arpels Heures Florales Cerisier Watch โดยหลายปีที่ผ่านมาแบรนด์นี้เป็นตัวเต็งและชนะสาขา Ladies' Complication มาหลายครั้ง แต่ปีนี้พิเศษยิ่งกว่า เพราะได้รางวัลพิเศษกับสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี ซึ่งจะคัดเลือกจากการนำเสนอนวัตกรรมในการบอกเวลาที่แปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเทคนิค การออกแบบ รูปแบบการแสดงเวลาที่แสดงถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตนาฬิกาอย่างมีศิลปะ

ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาดอกไม้ (Horologium Florae) ที่ถูกจินตนาการโดย Carl Von Linné ซึ่งคอนเซ็ปต์ของนาฬิกาดอกไม้ คือ การใช้ดอกไม้เพื่อให้บานและหุบในช่วงเวลาที่ต่างกันเพื่อบอกเวลาให้แม่นยำ ดังนั้นแบรนด์ Van Cleef & Arpels จึงนำหลักการนี้มาสร้างสรรค์นาฬิกา Lady Arpels Heures Florale CERISIER Watch

โดยจุดเด่นของนาฬิกาเรือนนี้อยู่ที่หน้าปัดแสดงเวลาในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน นั่นก็คือ การจัดหน้าปัดให้เป็นสวนดอกไม้แบบ 3 มิติ โดยจะใช้ดอกไม้ทั้ง 12 ดอก เพื่อเป็นตัวแทนในการอ่านชั่วโมง หลักการมีอยู่ว่า หากจะดูเวลาเป็นชั่วโมงจะสามารถอ่านค่าได้จากจำนวนดอกไม้ที่บานอยู่ และหากจะดูเวลาเป็นนาที สามารถอ่านค่าได้จากข้างตัวเรือน และอีกหนึ่งจุดเด่นจะอยู่ที่การเปลี่ยนชั่วโมง เพราะดอกไม้แต่ละดอกที่บานอยู่จะหุบกลีบกลับเป็นช่อ ก่อนที่จะบานขึ้นใหม่อีกครั้งแบบสุ่มเพื่อบอกเวลาของชั่วโมงถัดไป ทำให้เห็นถึงการผสมผสานของดอกไม้แบบใหม่ในทุก ๆ ชั่วโมงอยู่บนหน้าปัด นับว่าเป็นการบอกเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันงดงามในการออกแบบ รวมไปถึงกลไกและเทคนิคอันสลับซับซ้อนด้วย สมกับเป็นแบรนด์ Van Cleef & Arpels และเหมาะสมที่สุดกับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2022

Chronometry Watch Prize

Chronometry Watch Prize หรือ รางวัลสำหรับนาฬิกาที่มีการออกแบบที่พิเศษ เป็นรางวัลพิเศษที่จะถูกคัดเลือกจากเรือนที่เข้าร่วมทั้งหมด และไม่ได้มีทุกปี โดยนาฬิกาจะถูกตรวจสอบจากหน่วยงานมาตรฐานความแม่นยำโดยเฉพาะ อย่างเช่น COSC และ TIMELAB เป็นต้น ซึ่งแบรนด์ที่ได้รับรางวัลพิเศษในปีนี้ ได้แก่ Grand Seiko กับรุ่น Kodo Constant-Force Tourbillon

โดย Kodo (โคโดะ) ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “การเต้นของหัวใจ” ซึ่งจุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้อยู่ที่การสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยการผสมผสานสองสุดยอดฟังก์ชันของกลไกนาฬิกาเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำขึ้นไปอีกขั้น โดยเรือนนี้จะรวมกลไก ทูร์บิญอง (Tourbillon) และ คอนสแตนท์-ฟอร์ซ (Constant force) เข้ามาไว้ด้วยกันและทำงานอยู่ในแกนเดียวกันได้เป็นอย่างดี

ซึ่งข้อดีของการรวมทั้งสองกลไกเข้าเป็นหนึ่งบนแกนเดียวกัน คือ ทำให้กลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ สร้างแรงขับเคลื่อนของกลไกให้คงที่ได้นานขึ้นด้วยระยะเวลาถึง 50 ชั่วโมง ทำให้ระยะแกว่งตัวของจักรกลมีความเสถียรยิ่งขึ้น ส่วนกลไกทูร์บิญองก็จะให้ความเที่ยงตรงในระดับสูงสุด ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้การทำงานของตัวเครื่องมีความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุดอยู่เสมอ ซึ่งโดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นการเปิดตัวนาฬิการะดับ Complication ของทาง Grand Seiko ได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด

Artistic Crafts Watch Prize

รางวัล Artistic Crafts Watch Prize หรือ รางวัลเรือนหัตถศิลป์ยอดเยี่ยม จะเลือกจากนาฬิกาที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านเทคนิคทางศิลปะ และแบรนด์ที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ Voutilainen รุ่น Ji-Ku โดยจุดเด่นของนาฬิกาเรือนนี้อยู่ที่ความสวยงามของหน้าปัดที่มีสีสันหลากหลายและแปลกใหม่ ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย Kari Voutilainen (การิ วูติไลเนน) ช่างประดิษฐ์นาฬิการะดับปรมาจารย์ และ Tatsuo Kitamura (เท็ตสึโอะ คิตามูระ) หนึ่งในศิลปินเครื่องเคลือบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเครื่องเขินอันเป็นจุดสูงสุดของประเพณีญี่ปุ่น

ซึ่งหน้าปัดของเรือนนี้ได้ใช้เทคนิคอันเก่าแก่ของญี่ปุ่น โดยนำเปลือกหอยมุกหลากชนิด คือ Yakou-gai (ยาคุไก) หรือเปลือกหอยมุกไฟ และ Awabi-gai (อาวาบิไก) ซึ่งเป็นเปลือกของหอยเป๋าฮื้อจากประเทศนิวซีแลนด์ที่มีสีสันตามธรรมชาติ นำมาตัดให้มีขนาดเล็กเป็นเส้น ๆ และจัดเรียงบนฐานหน้าปัด โดยเรียงเป็นเส้นแนวรัศมี และเคลือบผิวตามเทคนิคญี่ปุ่นโบราณแบบ Saiei Makie (ไซเอะ มากิเอะ) และ Somata Zaiku (โซมาตะ ไซกุ) ซึ่งการรังสรรค์หน้าปัดแบบนี้นั้นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความประณีตเป็นอย่างมาก และต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะออกมาเป็นหน้าปัดที่สวยงามตระการตาอย่างที่ทุกคนได้เห็นกัน ถือว่าเป็นสุดยอดงานหัตถศิลป์อันยอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้

Tourbillon Watch Prize

Tourbillon Watch Prize หรือ นาฬิกาจักรกลทูร์บิญองยอดเยี่ยม ซึ่งแบรนด์ที่ชนะรางวัลนี้ได้แก่ H. Moser & Cie. รุ่น Pioneer Cylindrical Tourbillon Skeleton หนึ่งในจุดเด่นของแบรนด์ Moser ก็คือความสามารถในการพัฒนาและผลิต Hairspring ขึ้นเองได้ เพราะมีเพียงไม่กี่แบรนด์ในโลกที่สามารถผลิต Hairspring ได้เอง โดยปกติแล้ว Hairspring ที่เป็นขดสปริงขนาดเล็กจะถูกติดตั้งอยู่ตรงกลางของ Balance wheel และถือว่าเป็นหัวใจหลักของนาฬิกาจักรกลที่ทำให้นาฬิกาสามารถเดินได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำ

ซึ่งจุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้อยู่ที่ทางแบรนด์ได้แสดงศักยภาพอันน่าทึ่งด้วยการสร้างสรรค์ Hairspring รูปแบบพิเศษที่เป็นทรง Cylindrical (ไซรินดริคอล) หรือทรงกระบอก ผสานเข้ากับกลไก Flying Tourbillon ทำให้การทำงานของ Tourbillon นั้นดูแปลกใหม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เข้ากับการออกแบบที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดเปลือย (Skeleton) แบบสามมิติรูปแบบใหม่ ประกอบกับหน้าปัดบอกเวลาที่เป็นแบบไล่เฉดสี หรือที่เรียกว่า Fumé dial ตามแบบฉบับของ Moser ได้อย่างลงตัวและสวยงาม

Audacity Prize

Audacity Prize เป็นรางวัลพิเศษที่พิจารณาจากนาฬิกาที่ถูกส่งเข้าชิงรางวัล ภายใต้ข้อกำหนดว่าต้องเป็นนาฬิกาที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นแบบที่ไม่ได้มีใครเคยทำมาก่อน ซึ่งรางวัลนี้ก็ตกเป็นของแบรนด์ Bulgari เพราะในปีนี้ทางแบรนด์ยังคงทำลายสถิติโลกด้วยการเป็นนาฬิกาที่บางที่สุดในโลกได้อีกครั้ง

โดยในเดือนมีนาคม ปี 2022 ซึ่งถือเป็นปีที่ 8 ที่ทางแบรนด์สามารถทำลายสถิติโลกได้ติดต่อกัน และในปีนี้ก็เป็นรุ่น Octo Finissimo Ultra 10th Anniversary กับสถิตินาฬิการะบบกลไกที่บางที่สุดในโลก โดยมีความบางเพียง 1.8 มิลลิเมตรเท่านั้น และด้วยตัวเรือน Octo Finissimo Ultra 10th Anniversary ที่มีความบาง จึงมีความสลับซับซ้อนในการผลิตสูงมาก

เนื่องจากมีชิ้นส่วนประกอบมากถึง 170 ชิ้น ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญและความประณีตในการรังสรรค์เป็นอย่างมาก เพื่อให้นาฬิกาออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดภายใต้ตัวเรือนที่บางมากขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีการแกะสลัก QR code ลงบนเฟืองบนหน้าปัด ที่สามารถสแกนเพื่อเชื่อมต่อกับ NFT และ Metaverse ได้ ซึ่งนับว่าเป็นการเชื่อมต่อโลกของจักรกล (Mechanical) ให้เข้ากับโลกของดิจิทัล (Digital dimension) ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าทั้งล้ำสมัยและโดดเด่นไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง

Aiguille d'Or Grand Prix

Aiguille d'Or Grand Prix หรือ รางวัลนาฬิกายอดเยี่ยมประจำปี 2022 เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งแบรนด์ที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ MB&F กับนาฬิการุ่น Legacy Machine Sequential Evo

โดยความพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้อยู่ที่ระบบโครโนกราฟ หรือระบบจับเวลา ที่มีความพิเศษและซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะนาฬิกาเรือนนี้มีหน้าปัดโครโนกราฟถึงสองอัน! ถูกวางเป็นแบบคู่ อยู่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของหน้าปัด เพราะถึงแม้ระบบโครโนกราฟทั้งสองจะมีกลไกแยกจากกันอย่างอิสระ แต่ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างน่าทึ่ง โดยจุดเด่นของนาฬิกาเรือนนี้เลยก็คือ การที่แบรนด์สามารถคิดค้นและจดสิทธิบัตรระบบการทำงานแบบใหม่ได้

เพราะนาฬิกาสามารถจับเวลาได้ในหลากหลายโหมด ไม่ว่าจะเป็น แบบ Split-second, แบบ Sequential (lap timer) หรือแม้กระทั่ง Chess Match นาฬิกาที่ใช้ในการแข่งขันหมากรุกนั่นเอง ซึ่งกลไกนี้ที่มีความสลับซับซ้อนสูงได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยช่างนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญ Stephen McDonnel (สตีเฟน แมคดอนเนลล์) ที่ประกอบชิ้นส่วนรวมกันมากถึง 585 ชิ้น เป็นการผสมผสานการทำงานของชุดกลไกแบบที่ยังไม่เคยเห็นในนาฬิกาโครโนกราฟรุ่นไหนมาก่อน ซึ่งเหมาะสมกับรางวัลนาฬิกายอดเยี่ยมประจำปีนี้ที่สุด

Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek Philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier,

Recommended Posts