Auction House Logo

แนะนำนาฬิกา GMT จากหลักพันถึงหลักล้าน | Watch Talk EP.16

แนะนำนาฬิกา GMT จากหลักพันถึงหลักล้าน |  Watch Talk EP.16

แนะนำนาฬิกา GMT จากหลักพันถึงหลักล้าน | Watch Talk EP.16

ดูวิดีโอนาฬิกา GMT จากหลักพันถึงหลักล้าน| Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

หากพูดถึงแบรนด์ Rolex หลายคนก็คงจะนึกถึงคอลเลกชันที่แตกต่างกัน และมีรุ่นที่ชอบเฉพาะเจาะจงอยู่ในใจ ในครั้งนี้ Auction House จะพาทุกคนมาดูนาฬิกา Rolex รุ่นที่หายากและมีราคาสูงตั้งแต่หลักล้านไปจนถึงหลักร้อยล้าน ซึ่งในแต่ละรุ่นนั้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไร และเพราะอะไรถึงทำให้นาฬิการุ่นเหล่านี้เป็นที่หมายตาของนักสะสมอย่างมากมาย มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

1. Timex Waterbury Traditional GMT 39 mm

Timex (ไทเม็กซ์) เป็นแบรนด์นาฬิกาดังสัญชาติอเมริกันที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 167 ปี และออกคอลเลกชันมาแล้วมากมาย แต่ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ก็ต้องเป็น Waterbury ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อให้ทหารสามารถสวมใส่นาฬิกาบนข้อมือได้แทนนาฬิกาพก (Pocket Watch) จนในที่สุด Waterbury ก็ได้กลายมาเป็นจิตวิญญาณและหัวใจของแบรนด์ Timex ไปโดยปริยาย

Waterbury Traditional GMT มีสีสันที่โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดทูโทน ผสมผสานทั้งองค์ประกอบของวัสดุสตีลและทอง หน้าปัดสีน้ำเงินมาพร้อมกับเข็ม GMT สีแดง ตัดกับเข็มวินาทีสีเขียว ให้ความรู้สึกย้อนยุคที่เข้ากันได้ดีกับเทรนด์ปัจจุบัน และเสริมด้วยขนาดตัวเรือนปานกลาง 39 มิลลิเมตร ประดับด้วยโลโก้ The Waterbury ที่อยู่ด้านล่างของหน้าปัดนาฬิกาพร้อมเม็ดมะยมที่ทำจากทอง ที่สามารถปรับตั้งค่าเข็ม GMT (เขตเวลาที่สอง) ได้ที่บริเวณ 2 นาฬิกา

2. Mido Ocean Star GMT

Mido เปิดตัว Mido Ocean Star GMT นาฬิกาสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดในคอลเลกชัน Ocean Star ที่บอกเวลาสองไทม์โซนด้วยฟังก์ชั่น GMT อย่างแม่นยำ ครบเครื่องด้วยคุณสมบัตินาฬิกาแนวมารีนให้ทุกคนสามารถลุยกิจกรรมทางน้ำได้อย่างเต็มที่ ด้วยการสำรองพลังงานสูงสุดมากถึง 80 ชม.

Mido Ocean Star GMT มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ทันสมัยในตัวเรือนทรงสปอร์ตยุคใหม่ โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน GMT ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกง่ายดายกับการอ่านค่าเวลา เพราะ Mido แยกเข็มฟังก์ชันต่าง ๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเข็มชั่วโมง นาที และวินาที และยังเพิ่มเข็ม 24 ชั่วโมงสีน้ำเงินสำหรับใช้แสดงเวลา 2 ไทม์โซน ได้แก่ Home Time และ Local time โดยบริเวณรอบหน้าปัดจะมีแถบสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์แทนช่วงกลางวัน และแถบสีดำเป็นสัญลักษณ์แทนช่วงกลางคืน ซึ่งนาฬิการุ่นนี้นับเป็นอีกเรือนแห่งปีที่มีความคุ้มค่าคุ้มราคา ทั้งวัสดุและตัวเรือนในระดับนาฬิกาดำน้ำ อีกทั้งยังที่สำรองพลังงานยาวนาน 80 ชั่วโมง หน้าปัดทรงกลมสีดำ ขนาด 44 มิลลิเมตร สแตนเลสสีลและขอบตัวเรือนเซรามิก สายสแตนเลสสตีล ฝาหลังแบบปิดทึบสลักตาราง Time Zone 24 เมืองทั่วโลก

3. Glycine Airman No 1

Glycine เป็นแบรนด์นาฬิกาเก่าแก่จากสวิส ให้ความสำคัญกับการเดินทางและการบินมาโดยตลอด ถ้าหากจะพูดถึงแบรนด์ Glycine เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงคอลเลกชันสุดคลาสสิกอย่าง Airman ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1953 เป็นนาฬิกาสำหรับนักบินและนักเดินทาง เพราะมีฟังก์ชัน GMT ที่สามารถบอกเวลาได้หลายไทม์โซน

Airman No.1 ยังคงรักษารายละเอียดการออกแบบสไตล์วินเทจทั้งหมดที่ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่ขอบตัวเรือนที่หมุนได้สองทิศทาง ไปจนถึงคริสตัลอะครีลิกทรงโดมสูง มาพร้อมกับหน้าปัดสีขาวที่ออกแนวย้อนยุคโดยมีกลิ่นอายของการออกแบบที่อ้างอิงไปถึงนาฬิกา Airman รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 1953 โดยไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขนาดด้วย เพราะ No.1 จะมาพร้อมกับตัวเรือนที่มีขนาดเพียง 36 มิลลิเมตรเท่ากับของเดิม และมีอีกรุ่นสำหรับคนที่ต้องการขนาดใหญ่ขึ้น 40 มิลลิเมตร กันน้ำลึก 100 เมตร สำรองพลังงาน 42 ชั่วโมง และผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,000 เรือน

4. Oris Whale Shark Limited Edition

ในปีล่าสุด 2021 Oris (โอริส) ก็ได้เปิดตัว Oris Whale Shark Limited Edition นาฬิการุ่นพิเศษเพื่อการอนุรักษ์ฉลามวาฬ โดยในปี 2016 IUCN ได้ประกาศว่าประชากรฉลามวาฬในโลกมีจำนวนลดลงกว่าครึ่งในช่วงกว่า 75 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้น Oris จึงต้องการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศให้ดีขึ้น โดยการสร้างสรรค์นาฬิการุ่นพิเศษนี้เพื่อร่วมสนับสนุนการทำงานของ Gerardo del Villar นักสำรวจและช่างภาพที่มากด้วยประสบการณ์ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Oris ที่เริ่มถ่ายภาพ "ฉลามวาฬ" มานานมากว่า 15 ปี

นาฬิการุ่น Oris Whale Shark Limited Edition ประกอบขึ้นบนฐานตัวเรือนนาฬิกาไดฟ์เวอร์ รุ่น Oris Aquis GMT โดดเด่นด้วยลวดลายที่สื่อถึงผิวหนังของฉลามวาฬบนหน้าปัดสีฟ้าไล่เฉดสี และการใช้สีส้มแต่งแต้มบนปลายเข็ม GMT และ Marker ตรงตำแหน่ง 24 ชั่วโมง ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ขนาด 43.50 มิลลิเมตร ขอบวงแหวนบนตัวเรือนเซรามิก แสดงมาตรเวลา GMT เข็มนาฬิกาและหลักชั่วโมงเคลือบซุเปอร์ลูมิโนวาเพื่อให้สามารถมองเห็นได้ในที่มืด หน้าปัดกระจกหน้าแซพไฟร์ทรงโค้งเคลือบสารกันสะท้อนด้านใน ด้านหลังฝาทึบสลักสัญลักษณ์พิเศษเป็นรูปฉลามวาฬและชื่อรุ่น ‘Whale Shark Limited Edition’ พร้อมระบุหมายเลขประจำเรือน XXXX/2016 เพื่อระลึกถึงปีแห่งการประกาศให้ฉลามวาฬเป็นจุดมุ่งหมายของ IUCN

5. Breitling Avenger II GMT

Breitling Avenger คอลเลกชันสปอร์ตที่แข็งแกร่งและทนทานเป็นอย่างมาก เปิดตัวครั้งแรกในปี 2001 เป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่เป็นความภาคภูมิใจของแบรนด์ เนื่องจากนาฬิกาเต็มไปด้วยความทันสมัย เต็มเปี่ยมไปด้วยความโดดเด่น เหมาะสำหรับคนที่ชอบความคล่องแคล่ว ความโมเดิร์น แต่ก็ยังคงความเป็นนาฬิกานักบินของแบรนด์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี

Avenger II GMT โดดเด่นด้วยการแสดงเขตเวลาที่สองใน 24 ชั่วโมงที่ใช้งานได้จริง เสริมด้วยขอบหน้าปัดหมุนได้สองทิศทางทำให้สามารถอ่านเขตเวลาที่สามได้ด้วย ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติที่ได้รับการรับรองความเที่ยงตรง COSC ได้รับการปกป้องด้วยตัวเรือนสตีลที่ทนทานเป็นพิเศษ กันน้ำลึก 300 เมตร และเสริมการเสริมแรงด้านข้างด้วยเม็ดมะยมที่แข็งแรงพร้อมที่จับกันลื่น ตัวเลขแบบลายฉลุที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการบิน ให้ลุคสปอร์ตและสไตล์วินเทจดั้งเดิม ตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาด 43 มิลลิเมตร จับคู่กับสายสเตนเลสสตีล และสามารถสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง

b

6. Tudor Black Bay GMT

Tudor Black Bay Automatic GMT ที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับ Rolex GMT-Master เนื่องจากเป็นบริษัทลูกนั่นเอง โดยมีหน้าปัดสีดำทรงโดม โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดสีน้ำเงิน - แดงไวน์ ปลายเข็มถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับ Snowflake อันเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิกาแบรนด์ ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีล 316L ขนาด 41 มิลลิเมตร ซึ่งหน้าปัดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาดำน้ำของ TUDOR ในปี 1950 รวมถึงเม็ดมะยมขนาดใหญ่เพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้นก็มาจากแรงบันดาลในการออกแบบจากนาฬิกาดำน้ำเช่นเดียวกัน โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน GMT ที่สามารถแสดงเวลาได้ 2 ไทม์โซน สเกลบนขอบหน้าปัดเป็นแบบ 24 ชั่วโมงสำหรับใช้ในการดูเวลาที่ 2 ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre MT5652 โดยกลไกนี้ได้ผ่านการรับรองความเที่ยงตรงจาก COSC สามารถสำรองพลังงานลานได้ 70 ชั่วโมง และกันน้ำได้ 200 เมตร

7. Rolex GMT Master II 126719BLRO

ในปี 1955 ทาง Rolex ได้เริ่มสร้างนาฬิกา GMT-Master คอลเลกชันยอดฮิตจากแบรนด์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงสองเขตเวลาได้พร้อมกัน โดยในตอนแรกเริ่มถูกพัฒนาให้เป็นนาฬิกาสำหรับนักเดินทางมืออาชีพ และต่อมา Rolex กับสายการบิน Pan American World Airways ก็ร่วมมือกัน ทำให้ GMT-Master ได้กลายเป็นนาฬิกาทางการของสายการบิน นาฬิกา Rolex GMT แบ่งออกเป็น 2 ยุคหลัก ๆ คือยุคแรกขอบหน้าปัดนาฬิกา GMT จะเป็นขอบฟิล์ม ส่วน GMT ในยุคปัจจุบัน ขอบหน้าปัดจะเป็น Cerachrom Two Tone ดังนั้นจุดเด่นของ Rolex GMT ในยุคปัจจุบันก็คือการมีขอบหน้าปัดสองสี และมีชื่อเล่นอย่าง GMT batman และ GMT Pepsi ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี

Rolex GMT Master II ตัวเรือนเป็น White gold ขนาด 40 มิลลิเมตร ขอบหน้าปัดหมุนได้แบบ 24 ชั่วโมง โดดเด่นด้วยสี Two-Tone น้ำเงิน-แดง หรือที่ทุกคนมักจะเรียกว่า Pepsi โดยขอบหน้าปัดสองสีถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนสำหรับเวลากลางวัน และส่วนของเวลากลางคืน โดดเด่นด้วยหน้าปัด Meteorite สีขาว ที่มาจากอุกกาบาตส่วนสำคัญของดาวเคราะห์หรือชิ้นส่วนของโลกที่เกิดจากการระเบิด บริเวณกึ่งกลางของอุกกาบาตจะค่อย ๆ เปลี่ยนรูป ทำให้ลวดลายของหน้าปัดแตกต่างกันออกไป เป็นผลมาจากการเริ่มเย็นตัวลงของแกนดาวเคราะห์ที่หลอมละลาย โดยทีมนักออกแบบของ Rolex ได้สร้างสรรค์มรดกอันล้ำค่าที่เป็นเอกลักษณ์ให้แก่นาฬิกาอันทรงคุณค่านี้ ส่วนสายนาฬิกาจะเป็น Oyster ใช้วัสดุเดียวกับตัวเรือนที่เป็น White gold 18 CT ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3285 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาและผลิตขึ้นโดย Rolex และผ่านการจดสิทธิบัตร 10 ฉบับ มาพร้อม "Jumping hour" คือการปรับเข็มชั่วโมงให้เดินหน้าหรือถอยหลังแบบ "กระโดดข้าม" ทีละชั่วโมง โดยให้สังเกตว่าเข็มนาทีและวินาทีนั้นจะไม่หยุดเดินเพื่อให้ตั้งเวลาที่เที่ยงตรงและแม่นยำ อีกทั้งยังได้รับการรับรองคุณภาพความเที่ยงตรงสูงผ่านการทดสอบจาก COSC

ใครชอบนาฬิการุ่นไหนคอมเมนต์มาได้เลย หรืออยากให้เรารีวิวนาฬิการุ่นไหนเป็นพิเศษแนะนำมาได้นะคะ

อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

Recommended Posts