Auction House Logo

Breguet No.160 นาฬิกาที่หายไปของ Marie Antoinette

Breguet No.160 นาฬิกาที่หายไปของ Marie Antoinette

Breguet No.160 นาฬิกาที่หายไปของ Marie Antoinette

เรื่องราวของ Breguet No.160 นาฬิกาที่หายไปของ Marie Antoinette

พระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ราชินีคนสุดท้ายของฝรั่งเศส ผู้เป็นเจ้าของนาฬิกา Breguet No. 160 หรือที่เรียกกันว่า Marie Antoinette นาฬิกาที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด เพราะมีความสลับซับซ้อนด้านกลไกในระดับสูง ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านนาฬิกาอย่างเต็มรูปแบบโดยใช้ทองคำแทนโลหะชนิดอื่น ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ รวมไปถึงการใช้ระยะเวลาในการผลิตอย่างยาวนานกว่า 30 ปี

เรื่องราวของนาฬิกาเรือนนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1783 แบรนด์นาฬิกาที่โด่งดังอย่าง Breguet ได้ถูกมอบหมายให้รังสรรค์นาฬิกาอันล้ำค่าที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนและซับซ้อนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สั่งทำนาฬิกาเรือนนี้ บ้างก็ว่าพระราชินีเป็นผู้สั่งผลิตเอง แต่ตามหลักฐานจดหมายรหัสของราชินีก็เชื่อมโยงความสัมพันธ์ว่าอาจจะเป็นคำสั่งผลิตจาก Axel Von Freson ขุนนางสูงศักดิ์ชาวสวีเดนซึ่งเป็นคนสนิทของพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต ในเวลาต่อมาก็เกิดความสั่นคลอนของราชวงศ์ฝรั่งเศส และประชาชนก็เกิดการต่อต้านในประเด็นการเสียเกียรติของราชินีมากขึ้น ต่อมาก็เกิดการแอบอ้างใช้ชื่อพระราชินีในการพูดและทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจมากขึ้นไปอีก จนเลวร้ายถึงขนาดที่พระราชินีถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยติน

ส่วนนาฬิกา Breguet No.160 ที่ทางแบรนด์ Breguet ได้รับมอบหมายให้จัดทำขึ้นเพื่อพระราชินีก็ยังไม่แล้วเสร็จ จน Abraham-Louis Breguet ช่างผลิตนาฬิกามากฝีมือคนนี้เสียชีวิตลง และ Louis-Antoine Breguet ลูกชายเขาก็มาสานต่อทำนาฬิกาเรือนนี้จนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งนาฬิกานี้ก็เป็นที่ดึงดูดของเหล่านักสะสมนาฬิกาเป็นอย่างมาก มีการเปลี่ยนมือกันหลายต่อหลายคน จนในปี 1917 ก็ตกไปถึงมือของ David Lionel Goldsmid-Stern-Salomons นักสะสมนาฬิกาที่หลงใหลในฝีมือการทำนาฬิกาของช่างฝีมือที่รังสรรค์ Breguet No.160 ขึ้นมา ฉะนั้นเขาจึงซื้อนาฬิกาของ Breguet มากกว่า 100 เรือนมาสะสมไว้ จนในท้ายที่สุดเขาก็ได้ส่งต่อมรดกนาฬิกาอันล้ำค่านี้ให้ไว้กับลูกสาวและภรรยาของเขา

ต่อมาลูกสาวของ David ย้ายไปอยู่ที่เยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล และได้บริจาคนาฬิกาอันล้ำค่าทั้งหลายนี้ให้กับพิพิธภัณฑ์ เพื่อจัดแสดงให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนในปี 1974 แต่ก็เกิดเหตุโชคร้าย เพราะนาฬิกาหายากกว่า 100 เรือน รวมถึงนาฬิกาสุดพิเศษอย่าง Marie Antoinette ได้ถูกโจรกรรมไปในเวลาชั่วข้ามคืน และได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลานานกว่า 20 ปี จนกระทั่งในปี 2006 มีการเปิดเผยว่าการโจรกรรมในครั้งนั้นเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ที่ชื่อว่า Na’aman Diller โดยก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้สารภาพกับภรรยาของเขาถึงนาฬิกาอันมีค่าเหล่านั้นที่ได้เก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี โดยภรรยาของเขาก็ได้เจรจาเซ็นสัญญาค่าตอบแทนและนำนาฬิกา 53 จากทั้งหมด 106 เรือนซึ่งรวมถึง Marie Antoinette ไปคืนให้กับพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยในปี 2007 แต่ให้หลังหนึ่งปีถัดมา ภรรยาของ Na’aman Diller ก็ถูกจับกุม และถูกคุมประพฤติเป็นเวลา 5 ปี ส่วนนาฬิการวมทั้งหมด 96 จาก 106 เรือนที่ถูกโจรกรรมไปก็ได้ถูกนำกลับคืนมายังพิพิธภัณฑ์

Breguet No.160 หรือที่เรียกกันว่า Marie Antoinette เป็นนาฬิกาพกขนาด 60 มิลลิเมตร จัดเต็มด้วยกลไกคอมพลิเคชันที่มีได้ในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นปฏิทินถาวรแบบเต็ม (Perpetual Calendar) เข็มชั่วโมงกระโดด (Jumping Hour) และมินิท รีพีทเตอร์ (Minute Repeater) ซึ่งกลไกที่ซับซ้อนนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนทั้งหมด 823 ชิ้น ผลิตด้วยทองคำ 18K และกระจกแซฟไฟร์ที่ให้ความใสสง่างามในทุกพื้นผิว ในแง่ของศิลปะ ความซับซ้อน ความงาม และประวัติศาสตร์ อาจจะไม่มีนาฬิกาเรือนใดในโลกที่เหมือนนาฬิกาเรือนนี้ จึงถือได้ว่าเป็นนาฬิกาที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก และทำให้มีราคาประเมินสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 977 ล้านบาท เลยทีเดียว โดยในปัจจุบัน Breguet No.160 จะยังคงจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ The Museum for Islamic Art ณ กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามาดูได้

Recommended Posts