Auction House Logo

Hands-On Review รีวิวนาฬิกา King Seiko สีใหม่ล่าสุด ปี 2023 | Auction House

Hands-On Review รีวิวนาฬิกา King Seiko สีใหม่ล่าสุด ปี 2023 | Auction House

Hands-On Review รีวิวนาฬิกา King Seiko สีใหม่ล่าสุด ปี 2023 | Auction House

ดูวิดีโอ รีวิวนาฬิกา King Seiko ใหม่ล่าสุด ปี 2023 | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

Seiko แบรนด์นาฬิกาจากประเทศญี่ปุ่น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฬิกา โดยมีแบรนด์ย่อยหลากหลายแบรนด์ และหนึ่งในนั้นคือ King Seiko ที่ช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้ครอบคลุมทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยในวันนี้ Auction House จะมารีวิวเจาะลึกนาฬิการุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่นของ King Seiko ให้ได้ชมกัน

หากดูภาพรวมของ King Seiko แล้วนั้น ก็จะให้ Look and Feel ที่มีความวินเทจ เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิการุ่นดั้งเดิมนั่นคือ King Seiko KSK ในปี 1965 ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของแบรนด์ King Seiko โดยจะยึดหลักการออกแบบดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ หรือ “Grammar of Design” ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Taro Tanaka นักออกแบบนาฬิกาชื่อดังชาวญี่ปุ่น

ซึ่ง “Grammar of Design” จะถูกแบ่งออกเป็น 4 หลักการ ดังนี้
ประการแรก คือ พื้นผิวและเหลี่ยมมุมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือน, หน้าปัด, ชุดเข็ม, และหลักชั่วโมง จะต้องเรียบและมีความสมมาตรทางเรขาคณิตเพื่อให้สามารถสะท้อนแสงได้ดีที่สุด
ประการที่สอง ขอบตัวเรือนต้องเป็นเส้นโค้งเจียระไนแบบสองมิติที่แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็สวยงามอย่างลงตัว
ประการที่สาม ตัวเรือนทั้งหมดจะต้องได้รับการขัดให้เงางามเสมือนกระจกในทุกมุมมอง
ประการที่สี่ คือ ตัวเรือนในแต่ละรุ่นจะต้องมีรูปทรงที่พิเศษ หมายความว่า ตัวเรือนทรงกลมจะไม่กลมแบบทั่วไป แต่ต้องดีไซน์ให้แตกต่างและดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี

มาเจาะดูองค์ประกอบทีละส่วนของนาฬิกา King Seiko รุ่นใหม่กันว่า หลักการ Grammar of Design ที่ได้กล่าวไปแต่ละองค์ประกอบนั้นจะถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบใดบ้าง

เริ่มกันที่เค้าโครงของหน้าปัด โดยนาฬิการุ่นนี้จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีแบล็กชาร์โคล (SPB387J), สีน้ำเงินอินดิโกบลู (SPB389J) และ สีเขียวมะกอก (SPB391J) ซึ่งแต่ละสีมีความสวยงามให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

มีการตกแต่งพื้นผิวเป็นลายเส้นแนวตั้งบนหน้าปัด สื่อถึงความวินเทจได้เป็นอย่างดี พร้อมใช้เทคนิค Finishing แบบพิเศษที่ทำให้มีพื้นหน้าปัดดูมีมิติ เงางาม และเล่นแสงได้ดีเมื่อแสงตกกระทบ

ติดตั้งหลักชั่วโมงที่มีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมหนาสมมาตร มีมุมตัดที่สวยงาม ขัดเงาให้มีมิติเล่นแสงได้ดี ส่วนหลักชั่วโมงบริเวณ 12 นาฬิกาจะมีความหนากว้างกว่าหลักอื่น ๆ และมีลวดลายที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับการเจียระไนเสมือนเหลี่ยมเพชรที่มีความเฉียบคม ทำให้ภาพรวมของหลักชั่วโมงที่ 12 นาฬิกา มีความเป็นประกายแวววาว สามารถดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี

มาพร้อมหน้าต่างบอกวันที่ อยู่บริเวณ 3 นาฬิกา ส่วนตำแหน่งของโลโก้จะอิงตามรุ่นดั้งเดิม โดยมีโลโก้ Seiko อยู่ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา และโลโก้ King Seiko อยู่ที่ด้านล่างบริเวณ 6 นาฬิกา

เข็มนาฬิกาจะเป็นรูปทรงปลายแหลมที่มาพร้อมสารเรืองแสง LumiBrite โดยออกแบบเข็มให้มีเหลี่ยมมุมคมชัดและพื้นผิวที่เรียบกว้าง อันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่ดั้งเดิม ได้รับการตกแต่งด้วยการขัดเงาแบบซารัสซึ (Zaratsu) ให้ความเงางามราวกับกระจก

นับว่าเป็นซีรีส์แรกของ King Seiko ที่มี LumiBrite อยู่ที่เข็มทั้ง 2 ทั้งเข็มชั่วโมง นาที และอินเด็กซ์บอกเวลา

ตัวเรือนของนาฬิกาจะเห็นการออกแบบของเส้นสายและเหลี่ยมมุมที่ดูเฉียบคม เพื่อให้สามารถเล่นกับแสงได้อย่างสวยงามตั้งแต่ตัวเรือน (Case) มาจนถึงขานาฬิกา (Lugs) ที่มีการขัดแต่งด้วยกรรมวิธี Zaratsu (ซารัตสึ) อันเป็นเอกสิทธิ์ของ Seiko ที่ทำให้ดูเงางามราวกับกระจก ซึ่งทางแบรนด์ใช้ความประณีตในการรังสรรค์ในทุกสัดส่วน คมชัดและเงางามทุกมิติ ทำให้รูปทรงโดยรวมของนาฬิกานี้มีความเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน โดยนาฬิกาเรือนนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากวัสดุสเตนเลสสตีล มีการเพิ่มขนาดตัวเรือนจากรุ่นที่แล้ว 37 มิลลิเมตร มาเป็นขนาด 38.30 มิลลิเมตร แต่สามารถทำให้ตัวเรือนมีความบางลงจากรุ่นก่อนได้

ขอบตัวเรือน (Bezel) รูปทรงโค้งเหลี่ยมแบบสองมิติ ไม่มีการบิดเบือนรูปทรงใด ๆ โดยขอบยังมีความสมมาตรเท่ากัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ครอบด้วยกระจกแซฟไฟร์ที่ถูกออกแบบให้มีความบาง พร้อมเคลือบสารป้องกันการสะท้อนแสงที่พื้นผิวด้านในไว้เป็นอย่างดี ช่วยทำให้การอ่านค่าชัดเจนในทุกองศามุม ซึ่งทั้งหมดนี้จะเห็นได้ถึงการผสมผสานหลักการออกแบบที่เรียกว่า “Grammar of Design”

มีหนึ่งสิ่งที่แตกต่างไปจากรุ่นดั้งเดิม ก็คือ โลโก้ (Logo) ที่ทางแบรนด์ได้มีการปรับเปลี่ยนไปจากยุคแรก เป็นโลโก้แบบใหม่ของ King Seiko ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิการุ่น KSK ปี 1965 โดยโลโก้นี้จะประทับอยู่ตรงบริเวณเม็ดมะยม และโดดเด่นที่สุดคือบริเวณฝาหลังตัวเรือนที่เป็นแบบปิดทึบ พร้อมสลักตราสัญลักษณ์ King Seiko ไว้อย่างชัดเจน

สำหรับสายนาฬิกา ใช้วัสดุสเตนเลสสตีล โดยยังคงรูปแบบดั้งเดิมแบบ 5 ข้อเอาไว้ โดดเด่นด้วยเสน่ห์ของรูปทรงและพื้นผิวที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจน ให้รูปลักษณ์ที่ดูวินเทจเป็นอย่างมาก มีการขัดแต่งสายอย่างประณีต ทำให้สามารถสะท้อนแสงได้อย่างเงางาม และที่สำคัญคือ สวมใส่ได้สบายมาก ผิวสัมผัสของสายจะเรียบเนียนราวกับว่าไม่มีข้อต่อเลย

ทั้งนี้ทาง Seiko ยังมีระบบ Interchangeable ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายขึ้น ทำให้นาฬิกาสามารถแมตช์ได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งมีการจำหน่ายสายหนัง และ Buckle นาฬิกาแยกให้ด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกสายตามความเหมาะสมและตามความชอบ

ในส่วนของกลไก นาฬิการุ่นนี้ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 6R55 ที่บอกเวลาด้วยเข็มชั่วโมง นาที และวินาที พร้อมฟังก์ชันบอกวันที่ มาพร้อมพลังงานสำรองมากถึง 72 ชั่วโมง หรือ ประมาณ 3 วัน และกันน้ำลึกได้ถึง 100 เมตร

ส่วนราคาของนาฬิกาทั้ง 3 รุ่นนี้ ราคาจะอยู่ที่ ฿79,000 บาท

Recommended Posts