New Audemars Piguet 2021
Audemars Piguet เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับความนิยมระดับโลกและออกคอลเลกชันมาแล้วมากมาย ซึ่งในปี 2021 นี้เอง ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่มีการอัปเดตหลายรุ่นทั้งภายนอกและภายใน หลัก ๆ เลยก็จะเป็นคอลเลกชันยอดฮิตตลอดกาลอย่าง Royal Oak ที่อัปเดตรุ่นใหม่มีสีสันมากขึ้นแต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของหน้าปัดแปดเหลี่ยมไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเราจะเลือกมา 5 คอลเลกชันใหม่ล่าสุดที่น่าสนใจ มาดูกันว่าแต่ละรุ่นจะมีความโดดเด่นและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

Audemars Piguet Code 11.59 Selfwinding Chronograph 41 MM
มาเริ่มกันที่คอลเลกชัน Code 11.59 ออกมาใหม่ 2 รุ่น ขนาด 41 มิลลิเมตร หนา 12.6 มิลลิเมตร เป็นนาฬิกาโครโนกราฟ Selfwinding ใหม่ทั้งสองรุ่นที่ออกแบบตัวเรือนเป็นทูโทนร่วมสมัย ในขณะที่ขอบหน้าปัดตัวเรือนและตัวเรือนทำจาก White gold 18K หรือ Pink gold 18K โดดเด่นด้วยตัวเรือนตรงกลางทำจากเซรามิกสีดำที่ผ่านการเผาที่แม่นยำด้วยอุณหภูมิ 1,400 องศาเซลเซียส จากนั้นนำมาขัดเงาและขัดซาตินด้วยมือ ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน Calibre 4401 ซึ่งเป็นโครโนกราฟรุ่นล่าสุดของ Manufacture มาพร้อมฟังก์ชันฟลายแบ็คที่ช่วยให้สามารถรีสตาร์ทโครโนกราฟได้โดยไม่ต้องกดหยุดหรือรีเซ็ตก่อน สามารถสำรองพลังงานได้สูงสุด 70 ชั่วโมง จะวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมนี้ ราคา 43,900 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 1,500,000 บาท

Audemars Piguet Royal Oak Offshore Diver
รุ่นนี้มาใหม่ 3 เวอร์ชัน คือหน้าปัดสีกากี สีน้ำเงิน หรือสีเทา โดดเด่นด้วยความสวยงามของหน้าปัดแบบใหม่สีสันสดใสขึ้น พื้นหน้าปัดเป็นแบบ “Méga-Tapisserie” ที่มีลายตารางสี่เหลี่ยมนูนขนาดใหญ่ ประดับด้วยโลโก้ AP อยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งเป็นดีไซน์ใหม่แทนการพิมพ์ชื่อแบรนด์เต็ม ๆ เหมือนเวอร์ชันก่อน ๆ ขอบหน้าปัดพิมพ์สเกลนาที มีการปรับเปลี่ยนฟอนต์ตัวเลขและขีดสเกลให้ดูอวบขึ้นจากเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีลเหมือนกันทั้ง 3 รุ่น ขนาดเท่าเดิมคือ 42 มิลลิเมตร หนา 14.1 มิลลิเมตร มาพร้อมกับระบบสายนาฬิกาแบบใหม่ที่สามารถเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ เพียงแค่กดปุ่มที่อยู่ด้านในตรงข้อต่อระหว่างตัวเรือน เพื่อให้การดำน้ำแต่ละครั้งมีสไตล์ที่แตกต่างกันไปอย่างไม่น่าเบื่อ นาฬิกาทั้ง 3 รุ่น ทำงานด้วยกลไกรุ่นใหม่ Selfwinding Calibre 4308 ที่สามารถสำรองพลังงานได้สูงสุด 60 ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ 23,400 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 810,000 บาท

Audemars Piguet Royal Oak Extra-Thin 950 Platinum Smoked Green Sunburst
ความพิเศษของรุ่นนี้อยู่ที่หน้าปัดและวัสดุที่ใช้ในการผลิต โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีเขียวรมควันที่ขัดแต่งด้วยเทคนิค Smoked Green Sunburst เพื่อให้ได้สีที่มีการไล่ระดับจากตรงกลางเขียวแผ่ออกไปยังขอบจะมีสีดำ โดยตัวเรือนมีขนาด 39 มิลลิเมตร หนา 8.1 มิลลิเมตร ผลิตจาก Platinum 950 เช่นเดียวกับสายนาฬิกา ขัดแต่งลวดลายซาตินทั้งตัวเรือนและสาย ยกเว้นตรงสันขอบของตัวเรือนที่มีการขัดเงา กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน เข็มนาฬิกาและหลักชั่วโมงแบบขีดทำจาก White gold พร้อมเคลือบสารเรืองแสง Super Luminova เอาไว้เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนในที่มืด มีหน้าต่างวันที่อยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ขับเคลื่อนด้วยกลไก Selfwinding Calibre 2121 สำรองพลังงานได้สูงสุด 40 ชั่วโมง และกันน้ำลึก 50 เมตร ราคาอยู่ที่ 97,100 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 3,329,000 บาท

Audemars Piguet Black Panther Flying Tourbillon
นาฬิกาเรือนนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของ Audemars Piguet ที่ได้ร่วมมือกับ Marvel ค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ระดับโลก โดยการเปิดตัว Audemars Piguet Royal Oak Concept Black Panther Flying Tourbillon ที่จัดทำออกมาเพียงเรือนเดียวเท่านั้น ซึ่งต่างจากรุ่นที่ผลิตในจำนวนจำกัด ด้วยตัวเรือนทองคำขาว ขนาด 42 มิลลิเมตร ตกแต่งขอบหน้าปัดด้วยลวดลายจากชุดสูทของ Black Panther โดดเด่นด้วยหน้าปัด White Gold เคลือบสีดำเสริมดีไซน์สุดไฮเทคที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยการแกะสลักรูป “Black Panther” แบบ 3 มิติด้วยมือ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ความประณีตเป็นอย่างมากเพื่อให้หน้าปัดออกมาสวยงามที่สุด มีการโชว์กลไก Flying Tourbillon ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกาประดับด้วยโลโก้ AP อยู่ตรงกลาง จับคู่กับสายนาฬิกาสีม่วง ด้านหลังใช้กระจกแซฟไฟร์ ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน Calibre 2965 สำรองพลังงานได้สูงสุด 72 ชั่วโมง กันน้ำลึกได้ 50 เมตร โดยรายได้ทั้งหมด 100% จะมอบให้กับองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือเยาวชนที่ด้อยโอกาส ซึ่งได้ยอดประมูลปิดสูงถึง 5,200,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 164,000,000 บาท!

Royal Oak Self-Winding Chronograph 41 MM
ปิดท้ายด้วย Royal Oak Selfwinding Chronograph Ref.26239OR มีทั้งหมด 4 เวอร์ชัน ตัวเรือนผลิตจาก Pink gold 18K เหมือนกัน ขนาด 41 มิลลิเมตร หนา 12.38 มิลลิเมตร ขัดแต่งลายซาตินสลับกับขัดเงาบริเวณสันขอบตัวเรือน พื้นหน้าปัดลายตารางสี่เหลี่ยมนูน 3 มิติ Grande Tapisserie ที่เป็นเอกลักษณ์ เข็มนาฬิกาและหลักชั่วโมงแบบขีดทำจาก Pink gold เคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova มีหน้าปัดย่อยจับเวลาชั่วโมงและนาทีที่ตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา มีหน้าปัดย่อยวินาทีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา หน้าต่างวันที่อยู่บริเวณ 4-5 นาฬิกา มาพร้อมฟังก์ชันวันที่และโครโนกราฟ พร้อมระบบ Fly-back ที่สามารถกดปุ่มเริ่มการจับเวลาใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องกดหยุดและกดรีเซ็ตก่อน ด้านหลังตัวเรือนจะแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ โดยปกติแล้วจะเป็นแบบฝาทึบ แต่นาฬิกาเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้เป็นแบบเปลือยหลังสามารถมองเห็นการทำงานของกลไก Selfwinding Calibre 4401 ผ่านกระจกแซฟไฟร์ได้ สำรองพลังงานได้สูงสุด 70 ชั่วโมง กันน้ำลึกได้ 50 เมตร โดยรุ่นนี้จะมีสีหน้าปัดให้เลือกระหว่าง หน้าปัดน้ำเงินและหน้าปัดน้ำตาล จับคู่มากับสายหนังจระเข้สีน้ำเงินหรือสีน้ำตาลตามสีของหน้าปัด หรือจับคู่กับสาย Pink gold 18K สำหรับราคาในรุ่นสายหนังจระเข้จะอยู่ที่ 42,200 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 1,451,000 บาท ส่วนสาย Pink gold 18K ราคาอยู่ที่ 61,100 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 2,102,000 บาท