Auction House Logo

ทำความรู้จักคอลเลกชัน นาฬิกา Omega ฉบับปี 2024 | Auction House

ทำความรู้จักคอลเลกชัน นาฬิกา Omega ฉบับปี 2024  | Auction House

ทำความรู้จักคอลเลกชัน นาฬิกา Omega ฉบับปี 2024 | Auction House

ดูวิดีโอ อัปเดตราคานาฬิกา กับการลงทุนในปี 2024 | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

Omega (โอเมก้า) หนึ่งในแบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดในโลก ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและความสำเร็จอย่างมากมาย เช่น การได้เป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ได้ขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ เพราะเป็นนาฬิกาเพียงแบรนด์เดียวที่ผ่านบททดสอบอันหฤโหดของ NASA นอกจากนี้ยังทำสถิตินาฬิกาที่ไปสู่จุดที่ลึกที่สุดของโลกอีกด้วย ทำให้แบรนด์ Omega มีชื่อเสียงโด่งดังและมีฐานแฟนคลับมากมายจากทั่วทุกมุมโลก

ในปัจจุบัน Omega ก็มีนาฬิกาหลากหลายตระกูล และหลากหลายคอลเลกชัน สำหรับคนที่เพิ่งเข้าวงการนาฬิกาอาจจะสับสนว่าแต่ละคอลเลกชันนั้นแตกต่างกันอย่างไร ในวันนี้ Auction House จะพาทุกคนมาทำความรู้จักนาฬิกาแต่ละคอลเลกชันของ Omega ฉบับล่าสุดปี 2024 เพื่อให้ทุกคนทราบถึงความเป็นมา และสามารถสังเกตเพื่อแยกนาฬิกาในแต่ละคอลเลกชันได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น

1. Omega Seamaster

Seamaster เป็นคอลเลกชันนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดของ Omega ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1948 โดยในปัจจุบันนาฬิกา Seamaster ได้รับการออกแบบให้เป็น Sport watch และเป็นหนึ่งในตระกูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์ โดยนาฬิกาตระกูล Seamaster จะถูกแบ่งออกเป็น 4 คอลเลกชันย่อย ได้แก่ Diver 300M, Planet Ocean, Aqua Terra และ Heritage Models

คอลเลกชัน Seamaster Diver 300M

คอลเลกชัน Diver 300M เป็นคอลเลกชันที่ได้รับความนิยมมากที่สุดภายใต้ตระกูล Seamaster โดยจุดเปลี่ยนที่ทำให้รุ่นนี้ได้รับความนิยมคือการที่ Pierce Brosnan ผู้ซึ่งรับบทเป็น James Bond ในภาพยนตร์เรื่อง GoldenEye (พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก) ได้สวมใส่นาฬิการุ่นนี้ประกอบฉากในภาพยนตร์ และก็ยังสวม Seamaster Diver 300M ในอีกหลาย ๆ ภาคต่อมาของภาพยนตร์ James Bond อีกด้วย จึงทำให้นาฬิการุ่นนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "นาฬิกา James Bond" และโด่งดังไปทั่วโลก

โดยนาฬิกา Diver 300M ถูกออกแบบมาเป็นสไตล์ Diver Watch หรือ นาฬิกาดำน้ำ ที่มีการดีไซน์แบบโมเดิร์นสุดไอคอนิก มาพร้อมขอบหน้าปัดเซรามิกหมุนได้ทิศทางเดียว โดดเด่นด้วยหน้าปัดลายคลื่น (Wave pattern) ประดับชุดเข็มชั่วโมง-นาทีทรง Sword ในขณะที่เข็มวินาทีเป็นทรง Lollipop จับคู่มากับสายเหล็กที่เป็นข้อต่อแบบ Five-link และมี Helium Escape Valve อยู่ตรงตำแหน่ง 10 นาฬิกา สำหรับช่วยระบายก๊าซฮีเลียมออกจากตัวเรือนนาฬิกา มาพร้อมเม็ดมะยมแบบ Protected crown

ผสานเข้ากับกลไก Automatic Movement ที่ได้มาตรฐานระดับ Master Chronometer และมีความสามารถในการกันน้ำ 300 เมตร

คอลเลกชัน Seamaster Planet Ocean

คอลเลกชัน Planet Ocean เปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 โดยทาง Omega ตั้งใจทำให้คอลเลกชันนี้เป็นนาฬิกาดำน้ำที่จริงจังที่สุดของ Omega ดังนั้น Planet Ocean จึงมีประสิทธิภาพในการกันน้ำลึกถึง 600 เมตร

มาพร้อมตัวเรือน 2 ขนาด คือ 42 มิลลิเมตร และ 45.5 มิลลิเมตร และมีสีขอบหน้าปัดให้เลือกระหว่างสีดำและสีส้ม ซึ่งการใช้สีส้มนี้ได้กลายเป็นองค์ประกอบในการออกแบบและเป็นภาพจำของคอลเลกชัน Planet Ocean ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คอลเลกชัน Heritage

สำหรับคอลเลกชัน Heritage จะเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Seamaster รุ่นต่าง ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ โดยแต่ละรุ่นยังคงรักษาจิตวิญญาณแห่งความวินเทจ และรูปลักษณ์อันสปอร์ตไว้ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกลไกที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นแบบใหม่ที่มีความแม่นยำมากที่สุด

โดยจะเห็นได้จากรุ่นที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Seamaster เช่น Seamaster 1948 ที่เป็นนาฬิการุ่นแรกของ Seamaster, หรือการดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Seamaster 300 Ploprof, Bullhead และ Olympic Games ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาจับเวลาจากปี 1976

คอลเลกชัน Aqua Terra

ปิดท้ายนาฬิกาตระกูล Seamaster กับคอลเลกชัน Aqua Terra ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2002 โดยได้ผสานนาฬิกาสไตล์เดรสกับสปอร์ตให้เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยตัวเรือนที่ออกแบบมาอย่างสมมาตร มีวัสดุหลากหลายให้เลือกสรร เช่น สเตนเลสสตีล หรือทองคำรูปแบบต่าง ๆ ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกขึ้นลานอัตโนมัติที่มีความเที่ยงตรงระดับ Master Chronometer พร้อมความสามารถในการกันน้ำระดับ 150 เมตร

ซึ่งนาฬิกาคอลเลกชันนี้จะมีให้เลือกทั้งสำหรับผู้หญิง และสำหรับผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีนาฬิการุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเล่นกีฬาโดยเฉพาะ นั่นก็คือ Ultra Light นาฬิกาที่มีจุดเด่นในเรื่องความเบา และการสวมใส่ที่สบายข้อมือ ให้ความสปอร์ตและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

2. Omega Constellation

Omega Constellation เปิดตัวครั้งแรกในปี 1959 เป็นนาฬิกา Dress watch ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของ Omega ในการครองอันดับ 1 ในด้านความแม่นยำ และได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดจาก COSC ซึ่งแบรนด์ได้สร้างสถิติโลกติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ดังนั้นจะเห็นได้ว่านาฬิกาในคอลเลกชัน Constellation ได้มาตรฐาน COSC ทุกเรือน โดยจะสลักคำว่า Chronometer อยู่บนหน้าปัดทุกเรือนเช่นกัน

คอลเลกชัน Constellation Globemaster

คอลเลกชันนี้ จะใช้กลไกที่ล้ำสมัยที่สุดของแบรนด์ Omega เสมอ จึงได้กลายเป็นนาฬิการุ่นแรกของโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความแม่นยำระดับ Master Chronometer นั่นคือการที่นาฬิกาได้รับการรับรองถึง 2 มาตรฐาน ได้แก่ COSC และ METAS ซึ่งต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวดถึง 8 อย่าง เช่น การป้องกันสนามแม่เหล็ก, การรับแรงกระแทก, การกันน้ำ และการจัดการพลังงานสำรอง โดยการออกแบบจะมีหน้าปัดแบบ Pie-pan ที่เป็นดีไซน์สุดไอคอนิกของนาฬิกา Constellation ในอดีต มาพร้อมขอบหน้าปัดแบบเซาะร่อง ส่วนฝาหลังจะเป็นแบบโปร่งใสเผยให้เห็นกลไกที่มีการแกะสลักหอดูดาวอันเป็นสัญลักษณ์ของนาฬิกา Constellation มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

คอลเลกชัน Constellation

สำหรับคอลเลกชัน Constellation ที่ Omega ตั้งชื่อเดียวกับนาฬิกาตระกูลนี้นั้น ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนาฬิกา “Constellation Manhattan” ในยุค 80s ไม่ว่าจะเป็นแถบคาด หรือที่ถูกเรียกว่ากรงเล็บทั้ง 4 บนขอบหน้าปัด, การเซาะร่องเป็นรูปทรงพระจันทร์ครึ่งดวงบนเม็ดมะยม, ตัวเลขแบบโรมัน และดวงดาวที่ถูกประดับอยู่บนหน้าปัด โดยคอลเลกชันนี้จะแบ่งออกเป็นสำหรับผู้ชายและผู้หญิง สำหรับผู้ชายจะมี 3 ขนาด คือ 36 มิลลิเมตร จะเป็นกลไกแบบ Quartz ส่วนขนาด 39 มิลลิเมตร และ 41 มิลลิเมตร จะใช้กลไก Mechanical ที่มีความแม่นยำระดับ Master Chronometer

3. Omega De Ville

De Ville เป็นตระกูลนาฬิกาสไตล์ Dress Watch ของ Omega ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1967 ได้รับการออกแบบให้เรียบง่าย สง่างาม และมีความคลาสสิกที่สุดในบรรดาตระกูล Omega โดยนาฬิกาในตระกูลนี้ในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 4 คอลเลกชันย่อย ได้แก่ Ladymatic, Trésor, Prestige และ Tourbillon

คอลเลกชัน De Ville Ladymatic

คอลเลกชัน Ladymatic ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1955 เป็นหนึ่งในนาฬิการะบบกลไกอัตโนมัติรุ่นแรก ๆ ที่ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ต่อมาในปี 2010 แบรนด์ OMEGA ก็ได้นำชื่อนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการปรับโฉมเรือนเวลาใหม่ โดดเด่นด้วยการออกแบบหน้าปัดทรงกลม โดยมีจุดที่เชื่อมระหว่างตัวเรือนและสายบริเวณ 12 และ 6 นาฬิกา อันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้นาฬิกาดูโดดเด่นและสวยงาม

คอลเลกชัน De Ville Trésor

คอลเลกชัน Trésor เปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกา Trésor สไตล์ Dress watch ที่ออกมาในปี 1949 โดยในปัจจุบันนาฬิกาได้ถูกออกแบบมาให้มีความสง่างามในแบบร่วมสมัย และมีอยู่ 3 ขนาดด้วยกัน

คอลเลกชัน De Ville Prestige

สำหรับคอลเลกชัน Prestige เปิดตัวครั้งแรกในปี 1994 และยังคงความเป็น Dress watch สุดคลาสสิกไว้ได้เป็นอย่างดี โดยหน้าปัดจะประดับหลักชั่วโมงเป็นเลขโรมันในบางจุด เพื่อให้สามารถอ่านเวลาได้อย่างง่ายดาย สำหรับตัวเรือนก็จะมีการออกแบบให้บางเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น ในรุ่น 40 มิลลิเมตร และ 41 มิลลิเมตร จะใช้กลไกอัตโนมัติที่ได้มาตรฐานระดับ Master Chronometer และยังสามารถทำให้นาฬิกามีความบางกว่าคอลเลกชัน Trésor บางเรือนอีกด้วย

คอลเลกชัน De Ville Tourbillon

ปิดท้ายด้วยนาฬิกาจากตระกูล De Ville กับคอลเลกชัน Tourbillon ซึ่งเป็นรุ่นที่มีความประณีตสูงสุดของ Omega ทั้งในเชิงเทคนิคและการเก็บงาน รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ ด้วย โดยจุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้อยู่ที่กลไกล Tourbillon ที่ประดับอยู่ตรงกลางหน้าปัด ซึ่งได้รับมาตรฐานความเที่ยงตรงระดับ Master Chronometer โดยผสานความเชี่ยวชาญในการเก็บงานด้วยมือเข้ากับการใช้วัสดุทองคำได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือน, หน้าปัด และกลไก ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างสรรค์มาจากทองคำทั้งสิ้น

4. Omega Speedmaster

Omega Speedmaster เป็นหนึ่งในตระกูลนาฬิกายอดนิยมของ Omega ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 กับรุ่น Omega Speedmaster CK2915 ซึ่งถูกออกมาเพื่อใช้เป็นนาฬิกาจับเวลาสำหรับการแข่งขันโอลิมปิกโลก โดยความยอดเยี่ยมของ Speedmaster ไม่ได้มีเพียงความแม่นยำเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความแข็งแกร่ง ทนทาน ผ่านทุกด่านการทดสอบสุดโหดขององค์การ NASA จนกลายเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่ NASA ให้การยอมรับและถูกเลือกใช้ในภารกิจโดยให้นักบินอวกาศได้สวมใส่ไปยังดวงจันทร์ จนได้รับฉายาว่า “Moonwatch” นอกจากนี้นาฬิกายังถูกนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจในอวกาศหลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้ Speedmaster กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของวงการนาฬิกา

สำหรับการออกแบบสุดไอคอนิกของ Speedmaster นั้น อยู่ที่ฟังก์ชันโครโนกราฟ ซึ่งมาพร้อมขอบหน้าปัดที่มีมาตรวัดความเร็ว Tachymeter, มีพื้นผิวหน้าปัดเป็นสีดำด้าน และมีปุ่มกดอยู่ข้างตัวเรือน ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานด้วยมือ

ปัจจุบันตระกูล Speedmaster ถูกแบ่งออกเป็น 6 คอลเลกชัน ได้แก่ Moonwatch Professional, Dark Side of the Moon, Speedmaster 38, Two Counters, Instruments และ Heritage

คอลเลกชัน Speedmaster Moonwatch Professional

โดยคอลเลกชันนี้จะคงการดีไซน์แบบคลาสสิกเหนือกาลเวลา ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Speedmaster รุ่นที่ 4 ซึ่งถูกสวมโดยนักบินอวกาศ Apollo 11 ในภารกิจการไปดวงจันทร์ครั้งแรก มาพร้อมตัวเรือนแบบอสมมาตร ขนาด 42 มิลลิเมตร คลุมด้วยกระจกแบบ Hesalite Glass

ส่วนฝาหลังจะมีให้เลือกระหว่างแบบปิดทึบ กับแบบโปร่งใสใช้กระจกแซฟไฟร์เพื่อเผยให้เห็นความสวยงามของกลไก ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานด้วยมือ ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีความแม่นยำระดับ Master Chronometer

คอลเลกชัน Speedmaster Dark Side of the Moon

สำหรับคอลเลกชัน “Dark Side Of The Moon” ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนาฬิกาที่ถูกสวมใส่ในภารกิจกับยานอวกาศ Apollo ในช่วงยุค 60s โดยลูกเรือของ Apollo 8 ต่างก็สวมนาฬิกา OMEGA Speedmaster ในระหว่างภารกิจ ซึ่งพวกเขาได้กลายเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้เห็นอีกด้านของดวงจันทร์ และเพื่อเป็นการยกย่องความสำเร็จในครั้งนั้น ทาง Omega จึงออกแบบ และตั้งชื่อคอลเลกชันนาฬิกาเพื่อเชิดชูเหตุการณ์ดังกล่าวนั่นเอง

ส่วนรุ่นที่โดดเด่นจะเป็น Apollo 8 มาพร้อมหน้าปัดแบบสเกเลตัน ที่มีการตกแต่งลวดลายเป็นพื้นผิวของดวงจันทร์ได้อย่างสวยงาม ซึ่งการตกแต่งนี้รวมไปถึงชิ้นส่วนกลไกต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเข็มวินาทีที่เป็นรูปจรวด Saturn V ซึ่งผลิตจากไทเทเนียม นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของนาฬิกาเช่นกัน

คอลเลกชัน Speedmaster 38

นาฬิกาคอลเลกชันนี้ยังคงรูปลักษณ์และรายละเอียดจากนาฬิกาโครโนกราฟระดับตำนานของ OMEGA แต่ได้มีการปรับขนาดลดลงเหลือ 38 มิลลิเมตร โดยมีจุดมุ่งหมายให้คุณผู้หญิงสวมใส่ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งการออกแบบรุ่นนี้จะโดดเด่นด้วยสัมผัสแห่งความงามอันเป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่หน้าปัดย่อยทรงรี ไปจนถึงสีสันที่ชวนหลงใหล อย่างสีฟ้า สีเขียว และสีคาปูชิโน่ อันเป็นสียอดนิยม

คอลเลกชัน Speedmaster Two Counters

คอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟของ Omega ในช่วงปี 1940 โดยมีการออกแบบหน้าปัดที่ประณีต มาในสไตล์วินเทจ พร้อมเข็มนาฬิกาทรงใบไม้ (Leaf) และสเกลบอกเวลาแบบ "Snail" ทำให้นาฬิกาคอลเลกชันนี้มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ซึ่งสเกลแบบพิเศษนี้นั้น ถูกออกแบบมาให้อยู่แต่ละตำแหน่งต่าง ๆ จะเผยให้เห็นสเกลทาคีมิเตอร์ (Tachymeter) สำหรับวัดความเร็วหรือระยะทาง สเกลพัลโซมิเตอร์ (Pulsometer) สำหรับวัดชีพจร และสเกลเทเลมิเตอร์ (Telemeter) สำหรับวัดระยะห่างจากสิ่งที่ได้ยินหรือมองเห็นได้ เช่น พายุ

คอลเลกชัน Speedmaster Instruments

คอลเลกชันนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อนักสำรวจอวกาศโดยเฉพาะ โดยล่าสุดนี้แบรนด์ได้ออกนาฬิการุ่นใหม่ Speedmaster Skywalker X-33 ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Speedmaster Skywalker X-33 ที่ถูกเปิดตัวในปี 1998 ซึ่งนาฬิการุ่นใหม่นี้ถูกขับเคลื่อนด้วยกลไกควอตซ์ระดับสูง อันได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักบินอวกาศด้วยฟังก์ชันอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการอ่านค่าบนจอแสดงผลดิจิทัล เช่น แสดงเวลาในเขตเวลาที่แตกต่างกันสูงสุด 3 เขต, นาฬิกาปลุก 3 โหมด, ฟังก์ชันโครโนกราฟ, ฟังก์ชันนับเวลาถอยหลัง และปฏิทินถาวร

คอลเลกชัน Speedmaster Heritage

นาฬิกาคอลเลกชัน Heritage เป็นการยกย่องประวัติศาสตร์อันน่าประทับใจของนาฬิกาโครโนกราฟที่ยาวนานมาตั้งแต่ปี 1957 และสืบทอดมรดกผ่านการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากเรือนเวลาในอดีต รวมถึงภารกิจระดับตำนานของ NASA ด้วย สังเกตได้จากนาฬิการุ่นต่าง ๆ เช่น Anniversary Model กับรุ่น Silver Snoopy Award หรือรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยกลไก Caliber 321 ในตำนานที่ใช้ในภารกิจบนดวงจันทร์ เพียงแต่รุ่นใหม่นี้ทำจากทองคำทั้งหมด

ส่วนรุ่นที่มีตัวเลือกมากที่สุดในคอลเลกชัน Heritage นี้ ก็จะเป็น Speedmaster '57 ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก Speedmaster รุ่นแรก ที่เปิดตัวในปี 1957 ด้วยเข็ม Broad Arrow อันเป็นเอกลักษณ์ และสเกลวัดความเร็วบนขอบหน้าปัดที่มีให้เลือกหลากหลายสีสัน มาพร้อมหน้าปัดแบบ Sandwich ที่ซ้อนทับกันสองชั้น และหน้าปัดย่อย 2 หน้าปัด ติดตั้งหน้าต่างวันที่บริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกา ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกโครโนกราฟแบบไขลานด้วยมือ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Master Chronometer

Recommended Posts