เรื่องราวของ Tudor Oyster Prince กับ North Greenland Expedition
เรื่องราวของ Major Desmond Homard กับนาฬิกา Tudor Oyster Prince
ต้นกำเนิดของนาฬิการุ่นนี้อยู่ในช่วงปี 1952-1954 โดย British North Greenland Expedition (BNGE) ที่ไปตั้งฐานค่ายที่มีชื่อว่า "North Ice" โดยคณะเดินทางประกอบด้วยชายทั้งหมด 25 คนที่ได้รับนาฬิกา Tudor Oyster Prince รุ่นใหม่ในการไปทำภารกิจ และนาฬิกาเหล่านั้นส่วนใหญ่สูญหายไปในประวัติศาสตร์ แต่ก็มีนาฬิกาหนึ่งในนั้นที่ยังคงอยู่และเพิ่งถูกค้นพบที่ลิ้นชักในครัว ณ บ้านแห่งหนึ่งในอังกฤษ
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1952 สมาชิกของ British North Greenland Expedition (BNGE) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านการทหารและพลเรือนของอังกฤษ เพื่อทำภารกิจทางวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ พวกเขาได้ออกไปทำภารกิจที่ชายฝั่งเกาะกรีนแลนด์และเดินทางด้วยสุนัขลากเลื่อนหรือ M29 วีเซิลยานพาหนะที่ติดตาม เพื่อไปตั้งค่ายน้ำแข็งเหนือ (North Ice) ในเขต Dronning Louise Land ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยังไม่เคยสำรวจมาก่อนอยู่ที่ละติจูด 77 องศาเหนือ และทางทีม BNGE ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปีในการดำเนินการศึกษาทางธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศ และสรีรวิทยา ซึ่งพวกเขาค้นพบว่าแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์มีความหนาถึง 2,700 เมตร และบันทึกอุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่เคยสังเกตได้อยู่ที่ -87 องศาฟาเรนไฮต์หรือ -66 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ก็ยังพวกเขาก็ยังเป็นผู้บุกเบิกเทือกเขาบาร์ธ (Barth) ที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมได้จากการสำรวจในครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อกองทัพในเรื่องการปฏิบัติการในสภาพแวดล้อมของอาร์กติก และทำให้เกิดการพัฒนาชุดทหารและชุดเดินทางสำหรับสภาพอากาศอันหนาวเย็น รวมถึงนาฬิกาข้อมือที่ใช้ในการทำภารกิจด้วย
Oyster Prince ref. 7909 เป็นนาฬิกาขนาดเล็กที่ดูเรียบง่าย หน้าปัดสีขาวที่มีโลโก้ Tudor ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ตัวเรือน Stainless Steel ขนาด 34 มิลลิเมตร สร้างขึ้นเพื่อการใช้งานเป็นหลักจึงมีการตกแต่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เม็ดมะยมแบบขันเกลียว ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Caliber 390 ซึ่งสมาชิกของ BNGE สวมนาฬิกาที่มาพร้อมกับสายหนังที่ยาวเป็นพิเศษเพื่อใช้ทับแขนเสื้อสำหรับสภาพอากาศที่หนาวเย็น นาฬิกานี้นอกจากจะใช้เพื่อจับเวลางานทางโลกในแต่ละวันของการเดินทางแล้ว ยังถูกใช้ในการนำทางโดยคนขับวีเซิลอีกด้วย ซึ่งจะเปรียบเทียบเวลาบนนาฬิกากับเงาบน "เข็มชี้ทิศของดวงอาทิตย์" เนื่องจากเข็มทิศแบบดั้งเดิมไม่สามารถใช้งานได้เพราะอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่เป็นแม่เหล็ก
เจ้าของนาฬิกา Oyster Prince เรือนนี้คือ พันตรี Desmond Homard ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมสำรวจที่เป็นช่างบำรุงรักษาและซ่อมยานพาหนะที่ผ่านการอบรมมาแล้วและมีประสบการณ์ในการทำงาน เขาได้เข้าร่วมทีมสำรวจ BNGE ในปี ค.ศ. 1953 โดย Homard มาในฐานะช่างยนต์ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการให้วีเซิลวิ่งให้ได้ในสภาพที่ท้าทายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นการทำงานที่ยากมาก เนื่องจากเขาต้องถอดถุงมือเพื่อซ่อมวีเซิลในอากาศที่หนาวจัด แต่ในท้ายที่สุดก็ผ่านมาได้ด้วยดี
หลังจากที่เขากลับจากการทำภารกิจ เขาก็ได้เขียนจดหมายถึง Tudor เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนาฬิกาที่ใช้ โดยเขาอยากจะชื่นชมนาฬิกาเรือนนี้ที่เขาสวมใส่ตลอดการทำภารกิจที่กรีนแลนด์ว่า "หน้าที่ของผมมีมากมายหลายอย่างที่จะต้องทำ ตั้งแต่การสร้างฐานไปจนถึงการขับรถ ซึ่งอุณหภูมิก็มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 70 องศาฟาเรนไฮต์ไปจนถึง -50 องศาเลยทีเดียว และหลายครั้งที่ผมจะต้องซ่อมรถก็ทำให้นาฬิกาจุ่มลงไปในน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นาฬิกาเรือนนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันยังคงทำงานได้อย่างแม่นยำ และการมีนาฬิกาบนข้อมือของผมก็เป็นสิ่งที่มีค่ามาก
ต่อมาไม่นาน Homard ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาเพื่อท้าทายตัวเองอีกครั้ง โดยการเดินทางข้ามทวีปแอนตาร์กติกปี 1956 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจขั้วโลก และเขาก็เป็นทหารคนที่สองของอังกฤษที่ไปถึงขั้วโลกใต้ได้ โดยการไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ Homard ไม่ได้นำนาฬิกา Oyster Prince ไปด้วย เพราะเขาได้มอบนาฬิกาเรือนนี้ไว้ให้กับภรรยา และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นลงเขาก็ได้กลับมาบ้านอีกครั้ง และลืมนึกถึงนาฬิกาเรือนนี้ไปแล้ว
ก่อนที่ภรรยาของเขาจะเสียก็ได้พูดถึงนาฬิกาเรื่อนนี้ เขาจึงได้พยายามค้นหาแต่ก็หาไม่เจอ และยอมแพ้ไปสักระยะหนึ่ง จนในปี 2014 เขาก็ได้ค้นบ้านเพื่อหานาฬิกาอีกครั้ง จนกระทั่งเขาพบมันอยู่ในลิ้นชักในครัว โดยที่นาฬิกาเรือนนี้ยังคงมีรอยขีดข่วนจากการปฏิบัติหน้าที่บนข้อมือของ Homard อยู่เลย และเขาก็ส่งต่อนาฬิกาเรือนนี้ให้กับ Tudor ซึ่งในตอนนี้นาฬิกาถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยในคอลเล็กชันประวัติศาสตร์ และนาฬิกาดังกล่าวนี้ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณของ North Flag ซึ่งเป็นนาฬิการุ่นใหม่ที่ทนทานและออกแบบมาเพื่อคำนึงถึงการผจญภัยเป็นหลัก