ทำความรู้จักคอลเลกชัน Vacheron Constantin Égérie Collection
Vacheron Constantin เป็นแบรนด์นาฬิกาที่เก่าแก่อีกแบรนด์หนึ่งที่มีผลงานหลากหลายออกมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2020 นี้ ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวคอลเลกชัน Égérie (เอเฌรี) ที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ คอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพี Egeria (เอเกอเรีย) ซึ่งปรากฏนามในเทพนิยายโรมัน อีกทั้งยังหมายถึงหญิงสาวผู้เป็นแรงบันดาลใจ
คอลเลกชัน Égérie เป็นการผสมผสานศิลปะของ Haute Couture (โอต กูตูร์) เข้ากับ Haute Horlogerie (โอต ออร์โลเฌรี) โดยมีจุดเด่นที่ลวดลายเส้นบนหน้าปัดซึ่งทำให้นึกถึงเทคนิคการอัดพลีทของผ้าที่กว่าจะออกมาเป็นลวดลายอันประณีต ต้องใช้เวลาในการทดลองและพัฒนานานหลายเดือน รวมถึงดีไซน์ที่มีเส้นวงกลมที่ซ้อนเหลื่อมกันแบบเยื้องศูนย์กลาง โดยออกมาเป็นวงหน้าปัดย่อยแสดงวันที่ หรือวงหน้าปัดมูนเฟส ผลงานนี้เป็นการสร้างสรรค์นาฬิกาสำหรับผู้หญิงในมุมมองของ Vacheron Constantin ที่มองเห็นถึงความงามและความอ่อนหวานที่มีอยู่ในตัวผู้หญิงทุกคน ซึ่งในครั้งนี้ทาง Auction House จะพาทุกคนมาทำความรู้จักคอลเลกชัน Égérie (เอเฌรี) ซึ่งผลิตออกมาทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน แต่ละรุ่นจะแตกต่างกันอย่างไร และราคาเท่าไหร่ เราได้รวบรวมข้อมูลให้ทุกคนได้อ่านกันแล้ว
Égérie self-winding
มาเริ่มกันที่เรือนแรกเลย ตัวเรือนทรงกลมโทนสีเรียบ ขนาด 35 มม. หนา 9.32 มม. ขอบหน้าปัดประดับด้วยเพชร 58 เม็ด ขอบบนขวาตัวเรือนประดับเม็ดมะยมที่ทำจากหินมูนสโตน (Moonstone) ที่ผ่านการเจียระไนไว้ที่ตำแหน่ง 2 นาฬิกา พื้นหน้าปัดใช้สีเงินอมครีม (Silvery Opaline) ที่มีความละมุนเพื่อให้เข้ากับสีตัวเรือน มีการแกะสลักหน้าปัดให้เป็นริ้วเหมือนกับผ้าที่อัดพลีทด้วยเทคนิค Tapestry อันเก่าแก่ เพื่อสร้างพื้นหน้าปัดอันโดดเด่นนี้ ส่วนวันที่จะถูกจัดวางไว้ในวงแหวานที่ประดับเพชร 34 เม็ด อยู่ระหว่างตำแหน่ง 1 และ 2 นาฬิกา การจัดวางตำแหน่งวันที่ ที่ไม่เหมือนใครนี้ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความแปลกใหม่ให้กับหน้าปัดเป็นอย่างมาก ส่วนด้านหลังตัวเรือนเผยให้เห็นกลไกสวยงามผ่านกระจกแซฟไฟร์
ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 1088 ด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงานสูงสุด 40 ชั่วโมง รุ่นนี้มีตัวเรือนให้เลือก 2 แบบคือ Pink Gold ที่จับคู่กับสายหนังที่ถอดเปลี่ยนได้อีก 3 สีที่แตกต่างกันให้ได้เลือกว่าโทนสีไหนเหมาะกับวันนั้น และตัวเรือน Stainless Steel ที่มาพร้อมกับสาย Stainless Steel ที่มีความเรียบ บางและผ่านการขัดเงาให้รับกับข้อมือเป็นอย่างดี โดยตัวเรือน Pink Gold ราคาอยู่ที่ 950,000 บาท ส่วนตัวเรือน Stainless Steel ราคาอยู่ที่ 680,000 บาท
Égérie Moon Phase
มาต่อกันที่ เรือนที่สอง ตัวนี้จะมีขนาดใหญ่และหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 37 มม. หนา 10.53 มม ขอบหน้าปัดยังคงตกแต่งด้วยเพชรที่ผ่านการเจียระไนทั้งหมด 58 เม็ด ประดับด้วยเม็ดมะยมที่ทำจากหินมูนสโตนเหมือนรุ่นแรกที่กล่าวไป แต่ที่เพิ่มมาคือ Moonphase ประดับด้วยวงแหวนฝังเพชร 34 เม็ด ล้อมรอบดวงจันทร์และท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวในยามค่ำคืน ซึ่งอยู่ด้านหลังก้อนเมฆหอยมุกสีขาวสะอาดตา ที่เมื่อมีแสงมาตกกระทบก็จะแสดงเฉดสีรุ้งออกมาอย่างสวยงาม ถือเป็นการแสดงข้างขึ้นข้างแรมที่แปลกตา และลงตัวกับหน้าปัดเป็นอย่างมาก ส่วน Movement ก็ใช้เหมือนรุ่นแรกที่กล่าวไป
ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 1088 L เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงานได้สูงสุด 40 ชั่วโมง ซึ่งรุ่นนี้มีวัสดุให้เลือกระหว่างตัวเรือน Pink Gold ที่จับคู่มากับสายหนังจระเข้แบบถอดเปลี่ยนได้ 3 แบบ ราคาอยู่ที่ 1,110,000 บาท และตัวเรือน Stainless Steel ที่จับคู่มากับสาย Stainless Steel ราคาอยู่ที่ 835,000 บาท
Égérie Moon Phase Diamond-Pavé
ปิดท้ายด้วยรุ่นที่โดดเด่นที่สุดในคอลเลกชันนี้ ตัวเรือนทำจาก White Gold จัดเต็มกับการประดับเพชรบนตัวเรือน ด้านข้างตัวเรือน Lug นาฬิกา รวมถึงบนพื้นหน้าปัดจนเต็มพื้นที่ รวมเพชรทั้งหมด 802 เม็ด มองดูระยิบระยับ สวยงามและดูประณีตเป็นอย่างมาก บนหน้าปัดประดับด้วยวงแหวนฝังเพชรที่ล้อมรอบดวงจันทร์ 2 ดวงที่ทำจากหอยมุกและก้อนเมฆโปร่งแสงที่ทำจากคริสตัลแซฟไฟร์มีพื้นหลังเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยหมู่ดาว ส่วน Movement ก็เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้เลย
ในรุ่นนี้จับคู่มากับ 2 สาย คือสายผ้าซาตินและสายหนังจระเข้ แบบ Quick Release ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 2,090,000 บาท
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่
