Auction House Logo

ส่วนประกอบพื้นฐานของนาฬิกาที่คุณต้องรู้ | Auction House

ส่วนประกอบพื้นฐานของนาฬิกาที่คุณต้องรู้ | Auction House

ส่วนประกอบพื้นฐานของนาฬิกาที่คุณต้องรู้ | Auction House

ดูวิดีโอ ส่วนประกอบพื้นฐานของนาฬิกาที่คุณต้องรู้ | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

Watch 101 ส่วนประกอบพื้นฐานของนาฬิกา

สำหรับคนทั่วไปหรือมือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการนาฬิกา หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าส่วนประกอบต่าง ๆ ของนาฬิกาเรียกว่าอะไร และมีประโยชน์ในการใช้งานอย่างไรบ้าง ในครั้งนี้ Auction House จะพาทุกคนมาทำความรู้จักส่วนประกอบพื้นฐานของนาฬิกา

1. Case หรือ ตัวเรือนของนาฬิกา

เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทำให้รูปลักษณ์ของนาฬิกาดูโดดเด่นและแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ โดยวัสดุที่นำมาผลิตตัวเรือนก็จะเป็นสตีล, ไทเทเนียม ,เซรามิก หรือถ้าเป็นนาฬิกาหรูก็มักจะใช้ เงิน ทองคำ แพลตตินั่ม หรือโรเดียม มาผลิตเป็นตัวเรือน ซึ่งตัวเรือนของนาฬิกาก็ทำหน้าที่เหมือนกับผิวหนังในร่างกายของเรา ที่ช่วยยึดส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ให้เข้าที่

2. Bezel หรือ ขอบหน้าปัดนาฬิกา

ส่วนใหญ่จะเห็นได้ใน Sport Watch จะมีลักษณะเหมือนวงแหวนที่มีการออกแบบแตกต่างกัน บางรุ่นจะเป็นขอบเรียบ ๆ บางรุ่นก็เป็นแบบเซาะร่องหยึกหยัก โดยส่วนใหญ่แล้วจะผลิตจากสตีล, เซรามิก, หรือไทเทเนียม ซึ่งหน้าที่ของขอบหน้าปัดไม่ใช่แค่เป็นส่วนประกอบของนาฬิกาเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ด้วย โดยช่วงทศวรรษที่ 1950 ผู้ผลิตนาฬิกาต้องการเพิ่มฟังก์ชันของนาฬิกาให้มากขึ้น และไม่ต้องการไปยุ่งกับกลไก จึงทำให้ขอบหน้าปัดสามารถคำนวณระยะเวลาที่ผ่านไปหรือเวลาที่เหลืออยู่ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งแบบหมุนได้ทิศทางเดียว และแบบหมุนได้สองทิศทาง ซึ่งถ้าเป็นแบบหมุนได้ทิศทางเดียวส่วนใหญ่จะเป็นนาฬิกาดำน้ำ แต่ถ้าหมุนได้สองทิศทางก็จะเป็นนาฬิกาจำพวก GMT ที่สามารถดูเวลาได้มากกว่า 2 ไทม์โซน

3. Crystal หรือ กระจกของนาฬิกา

เป็นสิ่งที่ปกป้ององค์ประกอบต่าง ๆ ของนาฬิกาจากสิ่งแปลกปลอมและกันรอยขีดข่วนต่าง ๆ รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกันกระจกก็ทำให้สามารถมองเห็นความสวยงามของนาฬิกาด้านในได้เป็นอย่างดี ซึ่งกระจกนาฬิกาก็จะมีหลายประเภทและมีราคาที่แตกต่างกันไป

โดยส่วนมากแล้วนาฬิกาหรูจะนิยมใช้กระจกแซพไฟร์ (Sapphire) ซึ่งเป็นวัสดุชนิดพิเศษ ที่มีความแข็งทนทาน และทนต่อรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี แต่ก็จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่ากระจกชนิดอื่น ๆ ส่วนกระจกอะคริลิก (Acrylic) บางแบรนด์จะเรียกว่าเซลลูลอยด์ (Celluloid) หรือพลาสติก (Plastic) แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นกระจกประเภทเดียวกันคือผลิตจากวัสดุพลาสติกเหมือนกัน ซึ่งวัสดุชนิดนี้มีการผลิตมาตั้งแต่ปี 1930 และในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นวัสดุหลักในการผลิตกระจกของนาฬิกาเลยก็ว่าได้ โดยหลัก ๆ แล้วจะเจอกระจกประเภทนี้ได้ในนาฬิกา Omega Speedmaster Professional ซึ่งข้อดีของวัสดุประเภทนี้คือ เมื่อได้รับการกระทบกระแทกจะไม่แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเมื่อเป็นรอยขีดข่วนก็สามารถขัดออกได้ง่าย แต่ก็เป็นรอยขีดข่วนง่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันกระจกอะคริลิกก็ยังนิยมนำมาใช้กับนาฬิกาที่ต้องการความวินเทจอยู่

ต่อไปเป็นวัสดุกระจกมิเนอรัล (Mineral Crystal) ซึ่งเป็นวัสดุประเภทแก้ว ข้อดีคือเป็นรอยขีดข่วนยากกว่าอะคริลิก แต่ไม่ทนต่อรอยขูดขีดเหมือนแซพไฟร์ ซึ่งกระจกมิเนอรัลนี้ป้องกันการแตกละเอียดได้ดีกว่ากระจกแซพไฟร์ และมีความใสจะมากกว่าอะคริลิกแต่น้อยกว่าแซพไฟร์ ถือว่าเป็นวัสดุระดับกลาง ที่มีราคาในการผลิตกลาง ๆ

4. Dial หรือ หน้าปัด

เป็นส่วนประกอบหลักที่จะบอกรูปลักษณ์ของนาฬิกาเรือนนั้น ๆ เพราะเป็นเหมือนหน้าตาของนาฬิกา เป็นส่วนที่จะแสดงเวลาให้เราได้เห็นเป็นอย่างแรก ซึ่งหน้าปัดของนาฬิกาแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกันออกไป ทั้งสี หรือแม้แต่วัสดุ เช่น สเตนเลสสตีล หรือทองคำ ทั้งการออกแบบลวดลายต่าง ๆ อย่าง 'Clous de Paris' guilloché ของ Royal Oak หรือ Engine-turning Technique Guilloche ของแบรนด์ Breguet ที่คงความเป็นเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งลวดลายทั้ง 2 แบบนี้ก็เหมาะกับ Dress Watch เป็นอย่างมาก แต่ถ้าเป็นขั้นสุดของลวดลายหน้าปัดระดับสูงก็ต้องเป็น Métiers d'Art ที่โชว์งานฝีมือชั้นสุดของแบรนด์นั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี และดึงดูดสายตาของเหล่านักสะสมที่ยอมจ่ายเพื่อผลงานชิ้นนั้น ๆ อย่างไม่เสียดาย

5. Subdial หรือ หน้าปัดย่อย

อยู่ข้างในหน้าปัดอีกที ซึ่งหน้าปัดย่อยพวกนี้ก็จะมีฟังก์ชันที่แตกต่างกันออกไป โดยหน้าปัดย่อยวินาทีจะเห็นได้ใน Dress watch หรือนาฬิการะบบโครโนกราฟที่เป็นฟังก์ชันจับเวลา ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีหน้าปัดย่อย 3 หน้าปัด คือ หน้าปัดบอกวินาทีของเวลาปกติทั่วไป, หน้าปัดจับเวลาหน่วยนาที และหน้าปัดจับเวลาหน่วยชั่วโมง แต่ก็จะมีบางรุ่นที่มีหน้าปัดย่อยเพื่อบอกเวลาสำรองพลังงานหรือมูนเฟสด้วย

6. Hands หรือ เข็มนาฬิกา

เป็นเครื่องหมายที่ชี้ตำแหน่งบอกเวลาบนหน้าปัดเพื่อระบุเวลา ซึ่งนาฬิกาส่วนใหญ่จะมีเข็มอย่างน้อยสองเข็มสำหรับแสดงเวลาชั่วโมง และนาที โดยมีการออกแบบเข็มนาฬิกาในรูปแบบที่แตกต่างกันตามการใช้งาน เช่น นาฬิกา Dress watch จะเห็นเข็มที่มีความเรียวอย่าง เช่น Lance Hands หรือ Leaf Hands เพื่อคงความเรียบหรูของ Dress watch

ส่วน Sport watch ที่เป็นนาฬิกาโครโนกราฟก็จะนิยมใช้เข็มแบบ Alpha Hands เพราะด้านบนสุดเป็นยอดแหลมเหมาะสำหรับการจับเวลา ส่วนนาฬิกาประเภท Diver อย่าง Rolex ก็จะใช้เข็มแบบ Mercedes Hands ที่มีเข็มพรายน้ำขนาดใหญ่ช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนในระหว่างดำน้ำ

7. Hour Marker หรือ หลักชั่วโมง

เป็นตัวบอกตำแหน่งชั่วโมงที่อยู่บนหน้าปัดนาฬิกา โดยหลักชั่วโมงจะมีตั้งแต่ 1 ถึง 12 ตามเวลาปกติทั่วไป มีการออกแบบในลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแบบคลาสสิกที่เป็นตัวเลขอารบิก, ตัวเลขโรมัน, หรือแบบโมเดิร์นทันสมัยที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมหรือวงกลม นอกจากนี้แล้วหลักชั่วโมงในหลาย ๆ รุ่น ก็จะเคลือบสารเรืองแสงหรือที่เรียกว่าพรายน้ำด้วย ซึ่ง Sport watch จะมีหลักชั่วโมงขนาดใหญ่เคลือบพรายน้ำที่สว่างเห็นได้ชัดเจน ส่วน Dress watch ก็จะแต้มสารเรืองแสงเพียงเล็กน้อยตามการใช้งานของนาฬิกาแต่ละรุ่น

8. Lugs หรือ ขานาฬิกา

เป็นชิ้นส่วนที่ยื่นออกจากตัวเรือนเพื่อยึดเกาะกับสายนาฬิกา ซึ่งขานาฬิกานี้จะมีผลต่อความสวยงามของรูปลักษณ์นาฬิกาเป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงต้องมีการออกแบบรูปทรงและขนาดของขาตัวเรือนให้สอดคล้องกัน เพื่อให้รูปทรงของนาฬิกาสวยงามและดูดีมีเอกลักษณ์

9. Crown หรือ เม็ดมะยม

เป็นปุ่มที่อยู่ด้านนอกของตัวเรือนนาฬิกา เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของนาฬิกาเลยก็ว่าได้ เพราะเม็ดมะยมเป็นตัวควบคุมการทำงานของระบบนาฬิกาทั้งหมดเลย มีไว้สำหรับปรับตั้งปฏิทิน วันที่ และเวลา รวมถึงการไขลานนาฬิกาด้วย ซึ่งเม็ดมะยมนี้จะมีลักษณะเป็นปุ่มกลม ๆ ตรงกลางจะนิยมสลักสัญลักษณ์ของแบรนด์ หรือไม่ก็สลักชื่อแบรนด์ลงไป โดยเม็ดมะยมจะมีทั้งหมด 3 แบบ แบบแรกคือ Normal Crown เป็นเม็ดมะยมแบบธรรมดาที่สามารถดึงออกมาแล้วหมุนปรับตั้งค่าได้เลยตามปกติ

อย่างที่สองคือ Screw-Down Crown เป็นเม็ดมะยมแบบขันเกรียวแน่น เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ตัวเรือนนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือน้ำ ฉะนั้นเม็ดมะยมชนิดนี้จึงนิยมใช้กับนาฬิกาดำน้ำ เพราะมีระบบป้องกันที่ดีมาก และแบบสุดท้ายคือ Big Crown จะเป็นเม็ดมะยมขนาดใหญ่ ออกแบบมาเพื่อให้นักบินสามารถปรับตั้งเวลาได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับเวลาในระหว่างที่กำลังบินโดยไม่ต้องถอดถุงมือออก

10. Pusher หรือ ปุ่มกดที่มาพร้อมกับนาฬิกาโครโนกราฟ

โดยทั่วไปปุ่มโครโนกราฟนี้จะอยู่ข้าง ๆ ตัวเรือนใกล้กับเม็ดมะยม จะมีอยู่ 2 ปุ่ม คือ Start / stop ใช้ในการเริ่มจับเวลา หยุดจับเวลา และรีเซ็ตเพื่อเริ่มจับเวลาใหม่ ซึ่งนาฬิกาโครโนกราฟที่ดำน้ำได้อย่างเช่น Tudor black bay ก็จะมีปุ่ม pusher แบบ screw down คือเป็นปุ่มที่มีการล็อกแน่นหนาเพื่อกันน้ำ ก็จะต้องขันล็อกเพื่อเปิดปิดปุ่มจับเวลา

11. Movement หรือ กลไก

จะถูกเรียกว่า Calibre แล้วตามด้วยชื่อของกลไก โดยสิ่งสำคัญของกลไก คือ จะเป็นตัวกำหนดฟังก์ชันต่าง ๆ ของนาฬิกานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชันวันที่ปกติทั่วไป, ฟังก์ชันโครโนกราฟที่ใช้จับเวลา, ฟังก์ชันปฏิทินถาวรที่ปรับตั้งวันที่ได้โดยอัตโนมัติ หรือแม้กระทั่งฟังก์ชันชั้นสูงอย่างทูร์บิญงที่ทำให้นาฬิกามีความแม่นยำสูงสุด ซึ่งนอกจากกลไกจะกำหนดฟังก์ชันได้แล้ว ก็ยังเป็นตัวกำหนดราคาของนาฬิการุ่นนั้น ๆ ได้ด้วย เพราะขั้นตอนในการผลิตมีความสลับซับซ้อนและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เพื่อให้สมองของนาฬิกาออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

Recommended Posts