Auction House Logo

ทำความรู้จักคอลเลกชัน นาฬิกา Audemars Piguet ฉบับปี 2023 | Auction House

ทำความรู้จักคอลเลกชัน นาฬิกา Audemars Piguet ฉบับปี 2023  | Auction House

ทำความรู้จักคอลเลกชัน นาฬิกา Audemars Piguet ฉบับปี 2023 | Auction House

ดูวิดีโอ คอลเลกชัน นาฬิกา AP ฉบับปี 2023 | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

คอลเลกชันนาฬิกา Audemars Piguet

Audemars Piguet หรือ AP แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เปิดตัวนาฬิกามาแล้วมากมายหลากหลายรุ่น โดยเฉพาะนาฬิกา Royal Oak ที่เป็น Luxury Sport Watch หรือ นาฬิกาสปอร์ตหรู ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ซึ่งวันนี้ Auction House จะพาทุกคนมาดูคอลเลกชันนาฬิกาในปัจจุบันของแบรนด์ AP และมาดูความหมายอันซับซ้อนของเลขอ้างอิง หรือที่เรียกกันว่า เลข Reference เพื่อให้ทุกคนสามารถแปลความหมายของตัวเลขและอักษรได้

สำหรับแบรนด์ Audemars Piguet ในปัจจุบัน จะแบ่งนาฬิกาทั้งหมดออกเป็น 4 คอลเลกชันหลัก นั่นก็คือ Royal Oak, Royal Oak Offshore, Royal Oak Concept และ Code 11.59

Royal Oak Collection

คอลเลกชัน Royal Oak เปิดตัวครั้งแรกในปี 1972 ฉีกกรอบการดีไซน์นาฬิกาแบบเดิม ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนาฬิการุ่นนี้เป็นสไตล์ Sport Luxury แบบที่ AP ไม่เคยทำมาก่อน โดดเด่นด้วยตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยม หน้าปัดสีน้ำเงินลายตาราง Petite Tapisserie พร้อมตัวนอตทรงหกเหลี่ยมทำจากทองประดับอยู่ทุกมุมบนกรอบหน้าปัด

มีความแปลกตา ทนทาน และยังคงความหรูหราเอาไว้ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมขนาดตัวเรือน 39 มิลลิเมตร ซึ่งนับว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มากในยุคนั้น จึงได้รับฉายาว่า “Jumbo” จับคู่เข้ากับสายนาฬิกาที่เรียกว่า Integrated Bracelet เป็นสายที่เชื่อมมาจากตัวเรือนโดยตรง ทำให้ดูราวกับว่าตัวเรือนและสายนาฬิกาถูกหลอมขึ้นมาเป็นชิ้นเดียวกัน ถูกขัดแต่งอย่างประณีตงดงาม ทำให้ Royal Oak ได้กลายเป็นตำนานและเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ Iconic ที่สุดในโลก และเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของคนที่ต้องการลงทุนในนาฬิกา

ซึ่งปัจจุบันนาฬิกาในคอลเลกชัน Royal Oak ก็มีให้เลือกหลายหลากรูปแบบ มีจำนวนมากถึง 104 เรือน โดยแบรนด์ AP จะใช้ "Reference Number" หรือ "เลขอ้างอิง" ในการแบ่งนาฬิกาแต่ละเรือนอย่างเฉพาะเจาะจง

โดย Reference Number แบบเต็มจะประกอบไปด้วยตัวเลขและตัวอักษร ถึง 6 ส่วนด้วยกัน

ส่วนที่1 คือ Model Number หรือ ชื่อรุ่นของนาฬิกา เช่น Ref. 26240 จัดอยู่ในคอลเลกชัน Royal Oak ที่มีฟังก์ชัน Chronograph ส่วน Ref. 26574 ก็จะเป็น Royal Oak ที่มีฟังก์ชัน Perpetual Calendar ซึ่งตัวเลขในส่วนนี้จะมีความเฉพาะเจาะจงเพื่อบ่งบอกถึงรุ่นนั้น ๆ

ส่วนที่ 2 เป็นตัวอักษร เพื่อบอกวัสดุของตัวเรือน เช่น ST หมายความว่า ตัวเรือนใช้วัสดุ Stainless Steel ส่วน OR ก็คือ Rose Gold หรือ BC ก็จะเป็น White Gold

ส่วนที่ 3 เป็นตัวอักษร เพื่อบอกวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งขอบหน้าปัด เช่น OO ก็จะเป็นขอบหน้าปัดแบบเรียบ ส่วน ZZ ก็จะเป็นขอบเพชร

ส่วนที่ 4 เป็นรหัสของสายนาฬิกาในแต่ละรุ่น

ส่วนที่ 5 เป็นตัวอักษร เพื่อบอกวัสดุของสายนาฬิกา เช่น CA เป็นสายยาง หรือ CR เป็นสายหนัง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสายนาฬิกาก็จะใช้วัสดุเดียวกับตัวเรือนและจะใช้รหัสตัวอักษรแบบเดียวกันเพื่อบ่งบอกวัสดุ


ส่วนที่ 6 ตัวเลขสุดท้าย จะเป็นการแยกสีของหน้าปัดนาฬิกา

Royal Oak Classic

คอลเลกชัน Royal Oak กับฟังก์ชันสุดคลาสสิก เป็นนาฬิกา 3 เข็ม มาพร้อมฟังก์ชันวันที่ ที่มีวัสดุตัวเรือนให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น สเตนเลสสตีล, แพลทินัม และ ทอง

ส่วนรุ่นยอดนิยมตลอดกาลสำหรับ Royal Oak ฟังก์ชันคลาสสิกนี้ คือ หน้าปัดสีน้ำเงิน รุ่น Royal Oak "Jumbo" Extra-Thin Ref. 16202 ขนาด 39 มิลลิเมตร และมีความหนาเพียง 8.1 มิลลิเมตร ส่วนอีกรุ่นจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็น 41 มิลลิเมตร กับ Ref. 15510ST หน้าปัดสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน

Royal Oak Chronograph

สำหรับคอลเลกชัน Royal Oak ที่มีฟังก์ชัน Chronograph หรือ ระบบกลไกจับเวลา จะมาพร้อมหน้าปัดย่อย 3 วง ทำหน้าที่จับเวลา โดยวงที่อยู่บริเวณ 6 นาฬิกา จะทำหน้าที่แสดงเวลาเป็นวินาทีตามปกติทั่วไป

ส่วนวงที่อยู่บริเวณ 9 นาฬิกา จะทำหน้าที่จับเวลาเป็นนาที และวงสุดท้ายที่อยู่บริเวณ 3 นาฬิกา จะทำหน้าที่จับเวลาเป็นชั่วโมง มีวัสดุตัวเรือนให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น สเตนเลสสตีล, ทอง และ เซรามิก อีกทั้งยังมีขนาดให้เลือก 2 ขนาด คือ 38 มิลลิเมตร (Ref. 26715ST) และ ขนาด 41 มิลลิเมตร (Ref. 26240ST) สำหรับรุ่นยอดนิยมของคอลเลกชัน Royal Oak ฟังก์ชัน Chronograph ก็คือ Ref. 26240ST หน้าปัดสีน้ำเงิน

Royal Oak Flying Tourbillon

กลไก Tourbillon ของ AP จะเป็นแบบ Flying ที่เสมือนกลไกลอยอยู่กลางอากาศ โดยจุดประสงค์ของการสร้างสรรค์กลไกชนิดนี้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาแรงโน้มถ่วงที่มีผลกระทบต่อความแม่นยำของนาฬิกา ต่อมาจึงได้ถูกต่อยอดพัฒนามาเป็นกลไก Flying Tourbillon

ที่เข้ามาช่วยให้นาฬิกามีความแม่นยำมากขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนาฬิการะดับไฮเอนด์ไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่มีกลไกชนิดนี้ก็สามารถทำให้นาฬิกามีมูลค่าสูงถึงหลักล้านได้เลยทีเดียว

สำหรับ Royal Oak ที่มีฟังก์ชัน Flying Tourbillon จะถูกแบ่งออกเป็น 3 รุ่น ได้แก่ Ref. 26660ST ขนาด 37 มิลลิเมตร, Ref. 26670ST ขนาด 39 มิลลิเมตร และ Ref. 26730 ขนาด 41 มิลลิเมตร ซึ่งจะมีทั้งวัสดุและสีให้เลือกอย่างหลากหลาย รวมไปถึงหน้าปัดใหม่ที่เปิดตัวมาในปี 2023 โดยจะเรียกหน้าปัดแบบใหม่นี้ว่า Dimpled Dial (Ref. 26730OR)

มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มอยู่ทั่วหน้าปัด ทำให้ดูมีมิติมากยิ่งขึ้นเมื่อมองในองศาที่แตกต่างหรือเมื่อมีแสงมาตกกระทบ

Royal Oak Perpetual Calendar

สำหรับคอลเลกชัน Royal Oak ที่มีฟังก์ชัน Perpetual Calendar หรือ ปฏิทินถาวร จะเป็นฟังก์ชันบอกวันที่ได้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นเดือนที่มี 30 หรือ 31 วัน หรือแม้แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่มี 28 หรือ 29 วัน รวมไปถึงสามารถบอกปีได้อย่างถูกต้องไปจนถึง ปี ค.ศ. 2100 เลยทีเดียว

ซึ่งในปัจจุบัน Royal Oak Perpetual Calendar จะมีวัสดุตัวเรือนและสีหน้าปัดให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น วัสดุสเตนเลสสตีล, ไทเทเนียม และ ไวท์โกลด์ ส่วนสีหน้าปัดก็อย่างเช่น สีม่วง หรือ สีน้ำเงิน สำหรับขนาดตัวเรือนมีขนาดเดียว คือ 41 มิลลิเมตร โดยรุ่นปกติ Ref. 26574ST จะมีความหนาอยู่ที่ 9.5 มิลลิเมตร และ รุ่น Royal Oak Selfwinding Perpetual Calendar Ultra-Thin Ref. 26586IP ที่มีความหนาเพียง 6.2 มิลลิเมตร ซึ่งได้ทำสถิติในการเป็นนาฬิกา Perpetual Calendar ที่บางที่สุดในโลกในปี 2019

Royal Oak Openworked

คอลเลกชัน Royal Oak รูปแบบ Openworked เผยให้เห็นการทำงานและความสวยงามของกลไกบนหน้าปัด ซึ่งในปัจจุบันมีรุ่นหลักที่เป็นฟังก์ชัน Double Balance Wheel มีวัสดุตัวเรือนให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Stainless Steel, Pink Gold, White Gold, Yellow Gold และ Black หรือ White Ceramic

ส่วนขอบหน้าปัดก็จะมีทั้งแบบเรียบและแบบ Rainbow สีรุ้งประดับเพชรล้อมรอบ นอกจากนี้แล้วยังมีรุ่นพิเศษที่เป็นหน้าปัดแบบ Openworked อย่าง Royal Oak Flying Tourbillon (Ref. 26735ST) และ Royal Oak Perpetual Calendar (Ref. 26585CE) สำหรับขนาดตัวเรือนก็มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 37 มิลลิเมตร และ 41 มิลลิเมตร

Royal Oak Grande Complication

ปิดท้ายด้วยคอลเลกชัน Royal Oak กับ Grande Complication สุดยอดแห่งความสมบูรณ์แบบของนาฬิกาที่ผสานทุกศาสตร์เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชัน Minute Repeater, Perpetual Calendar และ Split-seconds Chronograph รวมไปถึงหน้าปัดแบบ Openworked และสายเซรามิก มาพร้อมตัวเรือนขนาด 44 มิลลิเมตร

ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในเรือนเดียวกันได้เป็นอย่างดี โดยนาฬิกา Royal Oak Grande Complication จะมีทั้งหมด 2 รุ่นให้เลือก คือ Ref. 26605CE วัสดุ Black Ceramic และ Ref. 26605CB วัสดุ White Ceramic

Royal Oak Offshore Collection

คอลเลกชัน Royal Oak Offshore เปิดตัวครั้งแรกในปี 1993 โดยพัฒนามาจากนาฬิกายอดฮิตตลอดกาลอย่าง Royal Oak ซึ่งทางแบรนด์ Audemars Piguet ต้องการให้นาฬิการุ่นนี้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มคนที่มีสไตล์เป็นของตัวเองได้มากขึ้น จึงออกมาเป็น Royal Oak Offshore ที่โดดเด่นด้วยความสปอร์ตสุดขีด มาพร้อมหน้าปัดขนาดใหญ่ 42 มิลลิเมตร

จนได้รับขนานนามว่า "The Beast" ด้วยภาพลักษณ์ของความเป็น Sport Watch อันดุดันและแข็งแกร่ง มาพร้อมฟังก์ชัน Chronograph อันโดดเด่น มีการดีไซน์ละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนโค้งที่เชื่อมสายข้อมือ ปุ่มกดด้านข้าง เม็ดมะยมติดซีลยางที่มีดีไซน์แบบร่วมสมัย พร้อมด้วยหน้าปัดลายตาราง Tapisserie อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เสมอมา

ซึ่งคอลเลกชัน Royal Oak Offshore ในปัจจุบัน มีมากถึง 35 รุ่นเลยทีเดียว และเป็นคอลเลกชันที่ใช้ในการทดสอบวัสดุใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยทางแบรนด์จะนำมาบรรจุไว้ในคอลเลกชันนี้เป็นอันดับแรก อีกทั้งยังมีการผลิตมาในจำนวนจำกัดอีกด้วย

Royal Oak Offshore Chronograph

คอลเลกชัน Royal Oak Offshore เริ่มต้นมาพร้อมกับฟังก์ชัน Chronograph ทาง AP จึงต่อยอดและทำให้ Offshore แบบ Chronograph เป็นนาฬิกาที่มีตัวเลือกหลากหลายรุ่นมากที่สุดของแบรนด์เสมอมา

โดยมีขนาดตั้งแต่ 37 มิลลิเมตร (Ref. 26231), 42 มิลลิเมตร (Ref. 26238) และ 43 มิลลิเมตร (Ref. 26425) สำหรับขนาด 37 มิลลิเมตร จะเป็นรุ่นสำหรับคุณผู้หญิง ส่วนใหญ่จะมาพร้อมขอบหน้าปัดล้อมเพชรอย่างสวยงาม และมีวัสดุตัวเรือนให้เลือกระหว่าง Stainless Steel และ Pink Gold

Royal Oak Offshore Diver

คอลเลกชัน Royal Oak Offshore ที่มาในรูปแบบ Diver หรือ นาฬิกาดำน้ำ ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาและต่อยอดการออกแบบมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 2021 นาฬิกา Royal Oak Offshore Diver ก็ได้กลับมาอีกครั้งในโอกาสครบรอบ 16 ปีของคอลเลกชันนี้

โดยยังคงขนาดตัวเรือนที่ใหญ่ สามารถกันน้ำลึกได้ 300 เมตร และสลับเม็ดมะยมที่ใช้ในการหมุน Bezel ให้ไปอยู่ที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา รวมทั้งเพิ่มยางที่ห่อหุ้มเม็ดมะยมให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นด้วย

Royal Oak Offshore Special

นอกจากรุ่นที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังมีรุ่นพิเศษที่เพิ่มเข้ามาในคอลเลกชัน Royal Oak Offshore อีกด้วย นั่นก็คือ Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition มาพร้อม 3 วัสดุ ทั้ง Titanium, Black Ceramic และ White Gold อีกทั้งยังมาพร้อม 2 ขนาด ได้แก่ 37 มิลลิเมตร และ 43 มิลลิเมตร

นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมี Grande Complication ที่เป็นสุดยอดการผสมผสานความซับซ้อนเข้ามาไว้ด้วยกัน มีทั้งหมด 2 รุ่น คือ Ref. 26582CB วัสดุ White Ceramic และ Ref. 26582CE วัสดุ Black Ceramic มาพร้อมขนาดตัวเรือน 44 มิลลิเมตร

Royal Oak Concept Collection

คอลเลกชัน Royal Oak Concept เปิดตัวครั้งแรกในปี 2002 เป็นการผสมผสานกลไกอันซับซ้อนให้เข้ากับการดีไซน์ที่ทันสมัย ทำให้ภาพรวมของคอลเลกชันนี้ดูล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแปลกใหม่ที่ทางแบรนด์ตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งธีมหลักของ Royal Oak Concept มีอยู่ 2 อย่าง อันดับแรก คือ ฟังก์ชันอันสลับซับซ้อน และอย่างที่สองคือ หน้าปัดแบบ Openworked เผยให้เห็นกลไกที่ถูกตกแต่งและจัดวางอย่างสวยงาม เสมือนงานสถาปัตยกรรม

ซึ่งในปัจจุบันนาฬิกาในคอลเลกชันนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายสีสันและหลากหลายรูปแบบ เช่น รุ่น Flying Tourbillon GMT, รุ่น Minute Repeater Supersonnerie, รุ่น Chronograph GMT Large Date ที่โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน Split-Second Chronograph รวมไปถึงรุ่นที่ออกมาใหม่ล่าสุดในปี 2023 ที่ได้จับมือกับค่าย Marvel กับ รุ่น Audemars Piguet Royal Oak Concept Tourbillon “Spider-Man” โดดเด่นด้วยหน้าปัดแบบ Openworked ที่โชว์ให้เห็นสไปเดอร์-แมนแบบสามมิติ มาพร้อมฟังก์ชัน Flying Tourbillon และผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 250 เรือนเท่านั้น

Code 11.59 Collection

คอลเลกชัน Code 11.59 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 ซึ่งคำว่า CODE 11.59 มีที่มาจากการนำตัวอักษรแรกของคำเหล่านี้มาต่อรวมกัน ได้แก่ Challenge (ท้าทายต่อขีดจำกัดทางด้านงานฝีมือ), Own (มรดกตกทอด), Dare (กล้าที่จะเดินตามความปรารถนาอันแรกกล้า) และ Evolve (วิวัฒนาการไม่เคยหยุดหย่อน)

ส่วนตัวเลข 11.59 คือเลขนาทีสุดท้ายก่อนก้าวเข้าสู่วันใหม่ เพื่อสื่อการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวแบรนด์เอง โดยคอลเลกชัน Code 11.59 นี้ เน้นการออกแบบร่วมสมัย หน้าปัดทรงกลมคลาสสิกผสานเข้ากับเส้นสายของตัวเรือนที่ทำมุมเป็นแปดเหลี่ยม ให้ออกมาเป็นดีไซน์ร่วมสมัยอันโดดเด่นได้อย่างลงตัว

โดยในปัจจุบัน คอลเลกชัน CODE 11.59 ได้ถูกต่อยอดมาเรื่อย ๆ จนมีมากถึง 42 รุ่น มีฟังก์ชันให้เลือกอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Chronograph, Perpetual Calendar, Flying Tourbillon, หรือ Minute Repeater

ส่วนไฮไลต์ในปี 2023 นี้ ก็คือการที่แบรนด์ AP ได้ผลิตนาฬิกาอันสลับซับซ้อนมากที่สุดของแบรนด์ ที่ถูกบรรจุไว้ในคอลเลกชัน CODE 11.59 กับรุ่น Audemars Piguet Ultra-Complication Universelle มาพร้อมฟังก์ชันที่มากถึง 23 ฟังก์ชัน ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของปีนี้เลยก็ว่าได้


ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่

ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่

ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่

Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek Philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier,

Recommended Posts