Auction House Logo

รวบ 8 นาฬิกาไฮไลต์จากงาน Geneva Watch Days 2021

รวบ 8 นาฬิกาไฮไลต์จากงาน Geneva Watch Days 2021

รวบ 8 นาฬิกาไฮไลต์จากงาน Geneva Watch Days 2021

ความสำเร็จของงาน Geneva Watch Days 2020 ได้สนับสนุนให้ผู้ก่อตั้งและแบรนด์ในเครือได้จัดงานอีกครั้งในปี 2021 นี้ โดยมีกำหนดการในวันเดียวกับปีที่แล้ว คือ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน โดยในปีนี้มีแบรนด์ที่เข้าร่วมงานถึง 20 แบรนด์ ที่เผยโฉมนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดจากบรรดาแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำที่เข้าร่วมในงานนี้ ซึ่งทาง Auction House ได้รวบรวม 8 นาฬิกาไฮไลต์ที่น่าสนใจมาให้ทุกคนได้ดูกัน

UR-100 Electrum By URWERK

Urwerk (อัวร์เวิร์ก) แบรนด์นาฬิกาอิสระสัญชาติสวิส ที่มักจะสร้างสรรค์นาฬิกาให้มีความแปลกใหม่อยู่เสมอ อีกทั้งยังรวมเอาความงดงามของศิลปะและกลไกอันซับซ้อนเข้ามารวมกันอยู่ในนาฬิกาได้อย่างลงตัว และในปี 2021 ก็เป็นอีกครั้งที่แบรนด์ Urwerk ได้นำเอาวัสดุแปลกใหม่มารังสรรค์ออกมาเป็นนาฬิกาที่มีชื่อว่า UR-100 Electrum โดยนำเอา Electrum (อิเล็กทรัม) ซึ่งเป็นแร่โลหะผสมที่มีทองคำและเงินเป็นส่วนประกอบหลักมาสร้างเป็นตัวเรือนนาฬิกา

ย้อนกลับไปในช่วงสมัยกรีกโบราณและอียิปต์ เคยนำเอา Electrum มาทำเป็นเหรียญเพื่อใช้เป็นเงินตราสำหรับแลกเปลี่ยน ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักกับโลหะมีค่าชนิดอื่น จึงเลิกใช้ Electrum แล้วหันมาใช้วัสดุชนิดอื่นแทน ด้วยเหตุนี้เองทางแบรนด์ Urwerk จึงให้ความสนใจโลหะเก่าแก่อย่าง Electrum เป็นอย่างมาก และนำมาสู่การผลิตตัวเรือนนาฬิกาโดยใช้ทอง Electrum ที่มีสีซีด ให้ความรู้สึกที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้านหน้าขอบตัวเรือนเป็นลวดลายเส้นวงกลมรอบล้อม ออกแบบโดย Martin Frei (มาร์ติน ฟราย) ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Urwerk ที่นำไอเดียมาจากอัฒจันทร์รอบสนามกีฬาในยุคกรีกโบราณ มีการเซาะร่องบริเวณด้านข้างตัวเรือนที่สื่อถึงเหรียญโบราณ ‘Electrum’ มาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีดำเรียบง่าย โดดเด่นด้วยการบอกระยะเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองในช่วงเวลา 20 นาที และเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในช่วงเวลา 20 นาที ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาโบราณเรือนหนึ่งซึ่งเป็นของขวัญที่ Felix Baumgartner (เฟลิกซ์ โบมการ์ทเนอร์) ผู้ร่วมก่อตั้ง Urwerk ได้รับจากพ่อของเขา และความพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้อยู่ที่การไม่บอกเวลาเป็นชั่วโมงแต่บอกระยะเวลาการเคลื่อนที่ของโลก ณ เส้นศูนย์สูตร ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Caliber UR 12.01 สำรองพลังงานได้ 48 ชั่วโมง ผลิตในจำนวนจำกีดเพียง 25 เรือนเท่านั้น ในราคา 62,000 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 2,000,000 บาท

Breitling Top Time Classic Cars Capsule Collection

คอลเลกชันนาฬิกาล่าสุดของ Breitling (ไบร์ทลิง) คือความฝันของคนรักรถคลาสสิกที่แท้จริง เพราะนาฬิกาแต่ละรุ่นมาในธีมของรถคลาสสิกยุค 60s ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมีทั้งหมดสามรุ่นเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันใหม่ที่เรียกว่า Classic Car Squad Capsule ด้วยสีสันหน้าปัดที่แปลกใหม่และโดดเด่น รุ่นแรกมีชื่อว่า Shelby Cobra ผลิตขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 60, Corvette ผลิตในช่วงปี 1963 ถึง 1967 และ Ford Mustang ประมาณปี 1964 ถึง 1969

Ford Mustang มาพร้อมหน้าปัดหลักสีเขียวและหน้าปัดย่อยสีดำ ในขณะที่ Chevrolet Corvette มาพร้อมหน้าปัดสีแดงและหน้าปัดย่อยสีดำ โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีเข็มและหลักชั่วโมงทรง Baton ลักษณะเป็นเส้นตรงยาว ๆ เคลือบด้วยสารเรืองแสง Super Luminova กระจกหน้าปัด Sapphire ทรงโดม มีตราสัญลักษณ์ Corvette และ Mustang ตามชื่อรุ่นอยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ส่วนขอบสเกล Tachymeter จะถูกออกแบบให้ดูคล้ายกับมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ทั้งสองรุ่นนี้ใช้วัสดุตัวเรือน Stainless Steel ขนาด 42 มิลลิเมตร กันน้ำลึก 100 เมตร ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Breitling Calibre 25 ที่ได้รับการรับรองจาก COSC สามารถสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง

ส่วนรุ่น Shelby Cobra มาพร้อมหน้าปัดสีน้ำเงินเข้มและหน้าปัดย่อยสีขาว เป็นแบบจับเวลา 2 วง ตัวเรือน Stainless Steel ขนาด 40 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากสองรุ่นด้านบน มีโลโก้ Cobra อยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ชุดเข็มและหลักชั่วโมงทรง Baton เคลือบด้วยสารเรืองแสง Super Lumimova ใช้กระจกหน้าปัด Sapphire ทรงโดม มาพร้อมสายหนังวัวแบบเรซซิ่งสีน้ำตาล ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Breitling Calibre 41 ที่ได้รับการรับรองจาก COSC และมีพลังงานสำรอง 42 ชั่วโมง เหมือนกับสองรุ่นก่อนหน้า ราคา 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 182,000 บาท

Girard-Perregaux Makes Three Bridges Fly

Girard-Perregaux (จีราร์ด-แพร์โกซ์) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน คงเอกลักษณ์ความสวยสง่าของนาฬิกาไว้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศิลปะในการทำให้โครงสร้างกลไกที่มีความซับซ้อนสูงให้ดูเรียบง่ายและสวยงาม มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความหลงใหล ความมุ่งมั่น และงานฝีมือที่ไร้ขอบเขตนี้จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Girard-Perregaux ไปโดยปริยาย

ในปี 2021 นี้ เป็นการฉลองครบรอบ 230 ปีของแบรนด์ จึงได้มีการเปิดตัว Girard-Perregaux Makes Three Bridges Fly นาฬิกาทูร์บิญอง (Tourbillon) ที่มีความสลับซับซ้อนของสามสะพานจักร วางขนานกันในแนวขวางที่เรียกว่า Three Bridges ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาของ Girard-Perregaux ในยุคศตวรรษที่ 19 ที่ทางแบรนด์นำมาต่อยอดเพื่อออกแบบเป็นโครงสร้างสเกเลตันของกลไกทูร์บิญองที่ทำจากวัสดุพิงค์โกลด์ (Pink Gold) ที่ล้ำค่าเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเคลือบตกแต่ง PVD สีดำ ซึ่งเป็นกระบวนการเคลือบผิวลักษณะบาง แต่จะทำให้มีความแข็งและทนทานต่อการกัดกร่อน หน้าปัดเป็นแบบสเกเลตันโปร่งใสโชว์ให้เห็นกลไกทูร์บิญองที่จัดวางบนฐานด้านล่างของหน้าปัด ตัวเรือนก็ทำจากวัสดุ Rose gold ขนาดตัวเรือน 44 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังทำจากไทเทเนียมเคลือบสีดำ ที่ดูเหมือนล่องลอยอยู่กลางตัวเรือนได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นแท่นวางให้กับกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Caliber the GP09400-1273 สำรองพลังงานได้ถึง 60 ชั่วโมง กันน้ำได้ 30 เมตร มาพร้อมสายหนังจระเข้สีดำสวยงามเข้ากับตัวเรือน ราคา 138,300 ฟรังก์สวิส หรือ ประมาณ 4,950,000 บาท

MB&F X L'Epée 1839 Orb

MB&F (เอ็มบีแอนด์เอฟ) แบรนด์นาฬิกาอิสระสัญชาติสวิสที่สร้างสรรค์ผลงานที่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง รวมทั้งยังพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ เป็นแบรนด์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เพราะเข้าใจถึงจิตวิญญาณและความหมายอันลึกซึ้งของผลงานศิลปะแต่ละชิ้นงานที่แบรนด์สร้างขึ้น ทำให้นาฬิกาของ MB&F มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่รวมเอาหัตถศิลป์ขั้นสูงสุดกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ามาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว

อีกหนึ่งผลงานที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการนาฬิกานั่นก็คือ MB&F X L'Epée 1839 Orb มาจากการร่วมมือระหว่าง MB&F และ L’Epée 1839 แบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาตั้งโต๊ะที่โด่งดัง โดยการรังสรรค์นาฬิกาในครั้งนี้ได้แนวคิดมาจาก Elytra ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางเทคนิคที่หมายถึงปีกที่ป้องกันตัวของด้วง ที่ไม่เพียงกางเปิดออกได้เท่านั้น แต่ยังสามารถหมุนได้ด้วย นาฬิกาจะมีลักษณะทรงกลมแวววาวดูเหมือนอุปกรณ์ไฮเทค ตัวเรือนของนาฬิกาสร้างขึ้นจากอลูมิเนียมเคลือบแล็กเกอร์ทรงกลมขนาด 17 เซนติเมตร สามารถแปลงโฉมได้อย่างหลากหลายรูปแบบ ทั้งกางปีกทั้งสี่ด้านออกเพื่อโชว์ให้เห็นกลไก หรือหุบปีกทั้งหมดลงก็จะกลับมาเป็นรูปทรงกลมเรียบง่ายเหมือนเดิม ขับเคลื่อนด้วยกลไก Caliber L’Epée 1839 ที่ออกแบบและผลิตขึ้นเองภายในบริษัท อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยความมหัศจรรย์ของกลไกตีระฆังบอกชั่วโมง (Hour-striking) ที่จะคอยตีเวลาทุก ๆ ชั่วโมง มาพร้อมกับการสำรองพลังงานที่ยาวนานถึง 8 วัน นาฬิการุ่นนี้มีให้เลือกในเวอร์ชั่นสีขาวหรือสีดำ ซึ่งผลิตในจำนวนจำกัดเพียงสีละ 50 เรือนเท่านั้น ราคา 28,500 ฟรังก์สวิส หรือ ประมาณ 1,100,000 บาท

H. Moser & Cie. Streamliner Perpetual Calendar

H. Moser & Cie. (เอช โมเซอร์ แอนด์ ซี) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสที่มีลักษณะเรียบง่ายและเฉียบขาด โดยทางแบรนด์จะเน้นผลิตนาฬิกาเดรสเป็นหลัก และมีการเริ่มต้นแนวคิดใหม่ที่ต้องการสร้างนาฬิกาที่มีความหรูหราด้วยการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ฉะนั้นบนหน้าปัดจะเน้นเพียงการแสดงเวลาเท่านั้นแต่จะใส่ความสลับซับซ้อนไว้ภายในตัวเรือนแทน ซึ่งแนวคิดนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้บนหน้าปัดนาฬิกาของ H. Moser & Cie. ดูเรียบง่ายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ได้เปิดตัว Streamliner คอลเลกชันใหม่ล่าสุดที่ได้ผสมผสานความเรียบง่ายเข้ากับความสง่างามร่วมสมัยของ H. Moser & Cie. ตอนที่กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ถัดมาปีนี้ 2021 ทางแบรนด์ก็เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ที่ชื่อว่า H. Moser & Cie. Streamliner Perpetual Calendar ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่เหนือกว่ารุ่นก่อนด้วยการบรรจุกลไกปฏิทินถาวร (Perpetual calendar) ที่สามารถอ่านค่าเวลาได้อย่างง่ายดายผ่านสี่เข็ม โดดเด่นด้วยช่องหน้าต่างวันที่ขนาดใหญ่และระบบเปลี่ยนวันที่อย่างรวดเร็วที่เรียกว่า “Flash Calendar” อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งวันที่ให้เดินหน้าและถอยหลังได้ทุกเวลา อีกทั้งยังมีการแสดงปีอธิกสุรทิน (Leap year) ฟังก์ชันที่มีความสลับซับซ้อน สามารถมองเห็นได้ผ่านกระจกแซฟไฟร์ด้านหลังตัวเรือน ส่วนตัวเรือนทำจากวัสดุสเตนเลสสตีลขนาด 42.3 มิลลิเมตร พร้อมสายสเตนเลสสตีลแบบผสาน โดยทุกรายละเอียดของข้อต่อและตัวเรือนได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อความสวยงามและความทนทานของนาฬิกา ทำงานด้วยกลไก Caliber HMC 812 ที่แบรนด์คิดค้นและผลิตขึ้นมาเอง และสามารถกันน้ำลึกได้ 120 เมตร ราคา 54,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,800,000 บาท

De Bethune DB25 Starry Varius GMT

De Bethune (เดอ บีธูน) แบรนด์นาฬิกาอิสระจากสวิสที่มีแนวคิดก้าวหน้าในด้านดีไซน์ รวมถึงการสร้างสรรค์ที่มาจากจินตนาการแห่งอวกาศ และโลกอนาคต เพราะได้รวมเอาความเชี่ยวชาญแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อรวมเอาความยุ่งยากอย่างกลไกเข้ามาไว้ในหัวใจของนาฬิกาได้เป็นอย่างดี

และใน 2021 นี้ ทางแบรนด์ก็เปิดตัวนาฬิกา De Bethune DB25 Starry Varius GMT พร้อมกลไก in-house ที่ผลิตขึ้นเอง ซึ่งเป็นกลไกชุดที่ 29 ของแบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญในการปรับกลไก GMT ให้เข้ากับตัวเรือนนาฬิกาได้อย่างลงตัว โดย Starry Varius รุ่นใหม่นี้เป็นการรวมเอารหัสดั้งเดิมทั้งหมดของคอลเลกชัน DB25 Starry Varius มารวมได้อย่างสมบูรณ์ ตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 ขัดเงาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร หน้าปัดมีมิติชวนให้นึกถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร้อมทางช้างเผือก มีการแสดงวันที่ด้วยเข็มแบบจัมปิ้งที่เปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว โดยปรับตั้งค่าได้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ที่แสดงเวลา 24 ชั่วโมง รวมถึงแสดงกลางวัน-กลางคืนแบบสามมิติผ่านลูกกลม ๆ เล็ก ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ หมุนและเผยครึ่งวงกลมหนึ่งเป็นสีน้ำเงินสำหรับบอกเวลากลางคืน และอีกครึ่งเป็นสีพิงค์โกลด์สำหรับเวลากลางวัน และด้านหลังเป็นแบบ openwork ที่สามารถมองเห็นการทำงานของกลไก Calibre DB2507 ผ่านกระจกแซฟไฟร์พร้อมการเคลือบป้องกันแสงสะท้อนทั้งบนหน้าปัดและฝาหลัง ราคา 95,000 ฟรังก์สวิส หรือ ประมาณ 3,400,000 บาท

Ulysse Nardin Uses A Panda Dial

Ulysse Nardin (ยูลิส นาร์แดง) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสฯ มีชื่อเสียงในด้านการผลิตนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรง รวมทั้งเป็นผู้นำในการผลิตเครื่องมือวัดระยะทางทะเลด้วย นอกจากนี้ทางแบรนด์ก็ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ควบคู่ไปกับการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม ด้วยจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นและความกล้าในการสร้างสรรค์นาฬิกา ทำให้แบรนด์ Ulysse Nardin เติบโตมาได้อย่างต่อเนื่องในปี 2021 นี้ เป็นปีที่แบรนด์นาฬิกา Ulysse Nardin ครบรอบ 175 ปี ที่ก่อตั้งมา จึงได้เปิดตัวคอลเลกชัน Chronometry Collection ซึ่งมีนาฬิกาหลากหลายรุ่น แต่หนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจก็คือ Ulysse Nardin Marine Torpilleur Panda Dial เป็นหนึ่งในคอลเลกชันนาฬิกาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยความโดดเด่นของดีไซน์แบบร่วมสมัย รวมถึงมีน้ำหนักเบาและขนาดบางกว่ารุ่นอื่น ๆ และที่สำคัญคือนาฬิการุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่มีหน้าปัดแพนด้า หมายถึงหน้าปัดสีขาวที่มีหน้าปัดย่อยสีเข้มตัดกัน คล้ายกับหน้าตาของหมีแพนด้าตัวเรือน Marine Torpilleur Panda ผลิตจากสเตนเลสสตีล ขนาด 42 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนเป็นแบบเซาะร่องมีลักษณะเป็นหยัก ๆ ซึ่งถือเป็นดีไซน์อันโดดเด่นของนาฬิการุ่นนี้ พื้นหน้าปัดหลักสีขาวเคลือบเงาด้วยเทคนิคการลงยาแบบกรองด์ เฟอ (Grand Feu) ซึ่งตัดกับหน้าปัดย่อยสีน้ำเงินในรูปแบบที่เรียกกันว่า แพนด้า หลักชั่วโมงตัวเลขโรมันสีน้ำเงินตัดกับสีพื้นหน้าปัด แสดงพลังงานสำรองที่หน้าปัดย่อยตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา บริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกาเป็นหน้าปัดวินาที และมีการพิมพ์ข้อความ ""Chronometry Since 1846"" ไว้บนหน้าปัดย่อย โดยนาฬิกามี 2 แบบ แตกต่างกันเพียงสายหนังจระเข้ที่มีสีน้ำเงินและสีน้ำตาลให้เลือก พร้อมหัวเข็มขัดสเตนเลสสตีล ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre UN-118 ซึ่งเป็นกลไกที่ได้รับรองความเที่ยงตรงตามมาตรฐาน COSC และสำรองพลังงานได้สูงสุด 60 ชั่วโมง ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือนต่อแบบเท่านั้น ส่วนราคาอยู่ที่ 8,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 270,000 บาท

Bvlgari Divina Mosaica

Bvlgari (บุลการี) เป็นแบรนด์ที่โด่งดังในเรื่องเครื่องประดับที่สวยงาม และเป็นผู้ผลิตนาฬิกาที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ในงาน Geneva Watch Days 2021 ที่เพิ่งจัดขึ้นนั้นทาง Bvlgari ได้เผยโฉมคอลเลกชันอัญมณีล้ำค่าที่มีมูลค่าสูงอย่าง Divina Mosaicas ให้ผู้คนได้รับชมกัน โดย Divina Mosaica ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมพื้นกระเบื้องโมเสกที่พบใน Baths of Caracalla โรงอาบน้ำอันหรูหราที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของกรุงโรม ซึ่งทางแบรนด์ได้นำภาพที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นี้มาใช้ออกแบบโดยผสมผสานกับอัณมณีสีเขียวและอัญมณีสีชมพูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์

โดยใช้ลวดลายรูปพัดอันสง่างามมาเป็นแบบบนหน้าปัดและตกแต่งด้วยอัญมณีที่ชวนให้นึกถึงสถาปัตยกรรมพื้นกระเบื้องโมเสกของกรุงโรม ซึ่งนาฬิกา Divina Mosaica Tsavorite 103491 มากับตัวเรือน White Gold และ Divina Mosaica Pink Sapphire 103492 มากับตัวเรือน Rose Gold ทั้งสองเรือนมีตัวเรือนขนาด 37 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนประดับอัญมณีสีเขียวและสีชมพูทรงบาแก็ตต์ ส่วนหน้าปัดของ Tsavorite ใช้อัญมณีซาโวไรต์ หรือโกเมนสีเขียว เป็นอัญมณีที่มีสีเขียวสว่างสดใส มีความงดงามใกล้เคียงกับมรกตมากที่สุด ในขณะที่ Pink Sapphire ใช้อัญมณีสีชมพูสดใสหายากที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยหน้าปัดของทั้ง 2 รุ่นนี้ใช้อัญมณีมากถึง 261 เม็ด! และเพชรเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร 282 เม็ด เพื่อทำให้ลวดลายโมเสกดูมีชีวิตชีวา ซึ่งอัญมณีและเพชรที่ใช้ ทางแบรนด์ได้คัดเลือกอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้อัญมณีที่มีเฉดสีและขนาดเท่ากันทุกเม็ด จัดวางอัญมณีและเพชรเข้าด้วยกันเสมือนเป็นกระเบื้องโมเสกที่ไร้รอยต่อ มาพร้อมสายหนังจระเข้สีเขียวและสีชมพูสดใส ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Caliber BVL 191 ที่สำรองพลังงานได้สูงสุด 42 ชั่วโมง ราคานาฬิการุ่น Divina Mosaica Tsavorite คือ 174,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,726,000 บาท ส่วน Divina Mosaica Pink Sapphire มีราคาอยู่ที่ 162,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,331,000 บาท

Recommended Posts