Hands-on นาฬิกา 4 คอลเลกชันใหม่ Moving Blue, M34 และ M45 จาก Orient Star | Auction House
ดูวิดีโอ สุดยอด นาฬิกา Iconic - Diver Watch | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
Orient Star แบรนด์นาฬิกาจากประเทศญี่ปุ่นที่มีอายุยาวนานกว่า 72 ปี ที่รวมการพัฒนาและผลิตชิ้นส่วนด้วยความแม่นยำ เข้ากับงานประกอบด้วยมือจากช่างผู้เชี่ยวชาญ ออกมาเป็นนาฬิกาจักรกลอันทรงคุณค่า และในปี 2023 นี้ ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาหลากหลายรุ่น รวมไปถึงนาฬิการุ่น Limited Edition สุดหายากจากหลากหลายคอลเลกชันอีกด้วย

โดยวันนี้ Auction House จะมา Hands-on รีวิวนาฬิกา พาทุกคนเจาะลึกนาฬิกาจาก 4 คอลเลกชัน หลากหลายรุ่น รวมทั้งหมด 7 เรือนด้วยกัน ซึ่งไฮไลต์จะมีทั้ง The Moving Blue, M34, M45 Brown Gradation และ M45 Blue Gradation

มาเริ่มกันที่ Orient Star "The Moving Blue" โดยนาฬิการุ่นใหม่นี้มาในธีม “Emotional Colours that Connect the World” หรือโทนสีที่ได้รับแรงบันดาลมาจากสีของทะเลและท้องฟ้าอันสดใส

ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้ถูกถ่ายทอดผ่านหน้าปัดอันโดดเด่นด้วยการไล่เฉดสีฟ้า (Turquoise Blue Gradation) ตัดกับสีทองชมพู หรือ Rose Gold ในองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ชุดเข็ม, หลักชั่วโมง, และเม็ดมะยม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความสว่างไสวของแสงแดดในยามเช้า

โดยประกอบไปด้วยนาฬิกา 3 รุ่น ที่เป็นลิมิติดอิดิชัน (Limited edition) ซึ่งจะอยู่ภายใต้คอลเลกชันคอนเทมโพรารี่ (Contemporary Collection) 2 รุ่น และอีก 1 รุ่น อยู่ภายใต้คอลเลกชันคลาสสิก (Classic Collection)

Classic Semi Skeleton Ref. RE-ND0019L จุดเด่นของรุ่น Classic Semi Skeleton จะอยู่ที่การฉลุช่องบนหน้าปัด เผยให้เห็นการทำงานของ Balance wheel ที่อยู่บริเวณตำแหน่ง 9 นาฬิกาได้อย่างเด่นชัด ทำให้หน้าปัดดูมีลูกเล่นอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยพื้นผิวหน้าปัดสีฟ้าในแบบซันเบิร์สต์ (Sunburst) ตัดกับเข็มและเม็ดมะยมสีทองชมพู (Rose Gold)

จับคู่มากับสายสเตนเลสสตีลที่ถูกขัดแต่งอย่างสวยงาม โดยนาฬิกาเรือนนี้มีขนาดอยู่ที่ 30.5 มิลลิเมตร หนา 11.0 มิลลิเมตร ทำให้ภาพรวมของนาฬิกานั้น ให้ลุคที่มีความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความซับซ้อน ส่วนฝาหลังเป็นแบบโปร่งใสเผยให้เห็นกลไก Automatic มีพลังงานสำรองนาน 40 ชั่วโมง และสามารถกันน้ำลึกได้ 50 เมตร

โดยนาฬิการุ่นนี้ผลิตมาจำนวนจำกัดเพียง 400 เรือนเท่านั้น ในราคา 27,000 บาท

Semi Skeleton Ref. RE-AT0017L โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีฟ้าสดใสซันเบิร์สต์ (Sunburst) ที่สะท้อนแสงอันสวยงามของท้องฟ้า ตัดกับชุดเข็มชั่วโมง-นาที และวินาที สีทองชมพู (Rose Gold) ซึ่งจะมีการออกแบบให้ปลายเข็มดูแหลมคม มาพร้อมเข็มแสดงพลังงานสำรองอยู่ที่บริเวณ 12 นาฬิกา และมีการฉลุโชว์ Balance Wheel อยู่ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา

ส่วนรุ่น Modern Skeleton Ref. RE-AV0122L จะมีรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้น เพราะหน้าปัดจะเป็นแบบซ้อนกันสองชั้น หรือที่เรียกว่า Dual-Layered Dial ซึ่งจะเห็นได้จากบริเวณตำแหน่ง 12 นาฬิกา ที่มีหน้าปัดย่อยพร้อมเข็มแสดงพลังงานสำรอง และบริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกา ที่มีหน้าปัดขนาดย่อมเพื่อบอกวินาที

โดยแผ่นหน้าปัดชั้นบนจะมีการไล่ระดับสีฟ้าด้านบน (Turquoise Blue) ส่วนแผ่นหน้าปัดชั้นล่างจะใช้สีเขียวโทนเข้ม ซึ่งการไล่ระดับสีแบบนี้ทำให้หน้าปัดดูมีมิติและมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก ทั้งสองเรือนมาพร้อมฝาหลังแบบโปร่งใสเผยให้เห็นกลไกที่ถูกขัดแต่งเป็นอย่างดี พร้อมการสำรองพลังงานนานถึง 50 ชั่วโมง และกันน้ำลึก 100 เมตร

สำหรับ Semi Skeleton Ref. RE-AT0017L มีขนาดตัวเรือนที่ 39.3 มิลลิเมตร ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 850 เรือนทั่วโลก ราคาอยู่ที่ 34,000 บาท

และรุ่น Modern Skeleton Ref. RE-AV0122L มีขนาดตัวเรือนที่ 41.0 มิลลิเมตร ผลิตมาในจำนวนจำกัดเพียง 1,200 เรือนทั่วโลก ส่วนราคาอยู่ที่ 42,000 บาท

มาต่อกันที่ “M Collections” ซึ่งเป็นคอลเลกชันใหม่ ที่ทางแบรนด์ Orient Star ใช้คอนเซ็ปต์การดีไซน์ที่บ่งบอกถึงความงดงามเหนือกาลเวลาได้เป็นอย่างดี

โดยได้นำเสนอเรื่องราวของเนบิวลา (Nebula) และดวงดาวผ่านเรือนเวลาคุณภาพสูง โดย M Collections ประกอบไปด้วย 3 คอลเลกชันย่อย (M34, M42, M45) และในวันนี้เรามีนาฬิกาจากคอลเลกชัน M34 และ M45 มาให้ทุกคนได้รับชมกัน

มาเริ่มกันที่คอลเลกชัน M34 โดยแรงบันดาลใจของคอลเลกชันนี้มาจาก Star Cluster หรือ กระจุกดาว ชื่อว่า Messier 34 ที่มีอักษรย่อว่า M34 ซึ่งเป็นกระจุกดาวที่คาดว่าถูกค้นพบเมื่อช่วงก่อนปี ค.ศ. 1654 และถือว่าเป็นกระจุกดาวที่อยู่ใกล้โลกที่สุด! อยู่บริเวณซีกฟ้าเหนือในกลุ่มดาว “Perseus” (เพอร์เซียส)

โดย M34 รุ่นใหม่สองเรือนที่เห็นอยู่นี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากสีสันของแสงเหนือ หรือ Aurora อันสวยงาม ได้แก่ สีน้ำเงิน (Ref. RE-BY0004A) และ สีเขียว (Ref. RE-BY0005A)

โดยจุดเด่นของทั้งสองเรือนนี้ อยู่ที่การใช้วัสดุหน้าปัดที่เป็นเปลือกหอยมุก ซึ่งจะมีเสน่ห์เฉพาะตัว เพราะเมื่อแสงตกกระทบ จะเห็นการไล่เฉดสีที่สวยงามตามคอนเซ็ปต์ของแสงเหนือได้เป็นอย่างดี

ซึ่งทั้งสองเรือนนี้ จะมีเค้าโครงของหน้าปัดเป็นแบบ Semi Skeleton โดยมีการฉลุช่องที่บริเวณตำแหน่ง 9 นาฬิกา มีเข็มแสดงพลังงานสำรอง 50 ชั่วโมง อยู่ที่บริเวณ 12 นาฬิกา และบริเวณ 6 นาฬิกาจะมีหน้าปัดขนาดเล็กเพื่อบอกวินาที

พลิกมาดูด้านหลังตัวเรือนเป็นแบบโปร่งใสเผยให้เห็นการทำงานของกลไกขึ้นลานอัตโนมัติ Calibre F7F44 ที่ขัดแต่งเป็นอย่างดี พร้อมทับทิมกันสึกจำนวน 24 เม็ด และสามารถกันน้ำลึกได้ 100 เมตร มีราคาอยู่ที่ 54,000 บาท

ต่อมาเป็นคอลเลกชัน M45 ซึ่งคือชื่อของกระจุกดาวลูกไก่ หรือที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักกันในชื่อซูบารุ (Subaru) กับรุ่น F7 Mechanical Moon Phase Brown Gradation Reference RE-AY0121A

ซึ่งแบรนด์ Orient Star (โอเรียนท์สตาร์) ได้เปิดตัวซีรีส์ Mechanical Moon Phase ในโอกาสครบรอบ 70 ปีของแบรนด์เมื่อปี 2021

และในปีนี้ 2023 ทาง Orient Star ก็ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ภายใต้ซีรีส์ Mechanical Moon Phase ในรหัส RE-AY0121A ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 180 เรือนเท่านั้น

โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากความงดงามของทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) ในประเทศญี่ปุ่น ถ่ายทอดลงบนหน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้ ซึ่งโดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำตาลรังสรรค์ขึ้นจากเปลือยหอยมุก (Mother-of-Pearl) ที่มีการไล่ระดับเฉดสีน้ำตาลให้เข้มขึ้นบริเวณรอบขอบหน้าปัดด้านในอย่างงดงาม ชวนให้นึกถึงพื้นผิวของทะเลสาบในยามค่ำคืน

มาพร้อมขนาด 41.0 มิลลิเมตร หนา 13.8 มิลลิเมตร จับคู่มากับสายหนังสะโพกม้าโทนสีน้ำตาล (Cordovan Strap) ซึ่งเข้ากันได้ดีกับสีของหน้าปัด อีกทั้งยังมาพร้อมสายสเตนเลสสตีลแบบถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย ทำให้ภาพรวมของนาฬิกาดูสวยงาม หรูหรา และคลาสสิก

ส่วนด้านหลังตัวเรือนเป็นแบบโปร่งใสเผยให้เห็นการทำงานของกลไกอัตโนมัติ In-House Cal. F7M65 สามารถกันน้ำลึกได้ 50 เมตร พร้อมทับทิมกันสึก 22 เม็ด โดยมีราคาอยู่ที่ 91,000 บาท

ปิดท้ายกับนาฬิการุ่น Orient Star M45 F7 Mechanical Moon Phase Blue Gradation Reference RE-AY0119L โดยทางแบรนด์ได้เลือกใช้สีน้ำเงินบนหน้าปัดเพื่อสื่อถึงแสงจากดวงดาวที่ประดับอยู่บนฟากฟ้าในยามค่ำคืน ซึ่งมีความสวยงามและมีเสน่ห์เฉพาะตัว

โดดเด่นด้วยการผลิตหน้าปัดอันสลับซับซ้อนที่มีการประกอบไปด้วยหลายชั้น เริ่มต้นด้วยการปั๊มลวดลายดวงดาวเต็มพื้นผิวของหน้าปัด ทำให้มีมิติและดูระยิบระยับอย่างสวยงามเมื่อมีแสงตกกระทบจากทุกมุมมอง จากนั้นจึงมีการเคลือบสีสูตรพิเศษด้วยเครื่องพิมพ์เพื่อปรับความเข้มข้นและการกระจายตัวของสีให้ทั่วทั้งหน้าปัด

ทำให้ได้หน้าปัดที่มีการไล่เฉดสีน้ำเงินตรงกลางแล้วไปเข้มดำตรงขอบ ส่วนผิวหน้าปัดชั้นบนสุดถูกเคลือบด้วยสารเคลือบใสที่มีความหนาและใสมากกว่าปกติ ทำให้หน้าปัดไล่เฉดสีน้ำเงินดูสวยงาม ทั้งนี้ทางแบรนด์ได้ใช้หน้าปัดแบบสองชั้น (Dual-Plate Structure) จึงทำให้เห็นพื้นผิวสัมผัสที่พิเศษเป็นอย่างมาก และเห็นรายละเอียดยิบย่อยมากยิ่งขึ้น

ทั้งหมดนี้อยู่บนตัวเรือนสีดำเข้มผลิตจากสเตนเลสสตีล ขนาด 41.0 มิลลิเมตร หนา 13.8 มิลลิเมตร จับคู่มากับสายหนังม้า (Cordovan Strap) ที่ดูเงางามและเรียบเนียน ส่วนด้านหลังตัวเรือนเป็นแบบโปร่งใสเผยให้เห็นการทำงานของกลไกไขลานอัตโนมัติ In-House Calibre F7M65 พร้อมความสามารถในการกันน้ำลึกได้ 50 เมตร

ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 80 เรือนเท่านั้น ส่วนราคาอยู่ที่ 120,000 บาท