รวมรุ่น Rolex Submariner ยอดฮิตของนักสะสม
ผ่านมากว่า 65 ปี นับตั้งแต่ Rolex เริ่มต้นคอลเล็กชั่น Submariner ในปี ค.ศ. 1953 จากโมเดลตัวทดลองรุ่น 6200 หลังจากนั้นนาฬิกา Rolex Submariner ได้ถูกผลิตและวางขายในตลาดนาฬิกามาแล้วกว่า 25 โมเดล ซึ่งถ้าจะแบ่งให้เข้าใจตามแบบฉบับนักสะสมนาฬิกา สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1) Vintage Rolex Submariner Models เป็นนาฬิกาคอลเล็กชั่น Submariner แบบวินเทจ ทุกรุ่นจะถูกผลิตและวางขายในช่วงปี 1953 กลายเป็นของหายากและราคาแพงมากในปัจจุบันนี้ รุ่นที่นักสะสมนาฬิกาต้องการไว้ในครอบครองก็หนีไม่พ้น Submariner Model 6200, 6204, 6538, 5513 และ 1680 2) Modern Rolex Submariner Models โมเดลเริ่มต้นสู่ยุค Modern Submariner ผลิตออกมาในปี 1988 และจุดเด่นของนาฬิกา Rolex Submariner ที่อยู่ในพาร์ท Modern จะมีเลข Reference อย่างน้อย 5 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 1 และบางรุ่นจะมีตัวอักษรต่อท้าย ซึ่งต่างจาก Submariner ที่อยู่ในหมวด Vintage Submariner Models ที่มีเลข Reference เพียงแค่ 4 หลัก และจะมีเพียงแค่ Vintage Submariner รุ่นท้ายๆ ที่มีเลข 5 หลัก

“Rolex Submariner 6200”
“Rolex Submariner 6200” โมเดลเริ่มต้นแห่งตำนาน Submariner
เริ่นต้นคอลเล็กชั่น Submariner โมเดล 6200 ที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นรุ่นแรกเพื่อทดลองและเปิดทางให้น้องๆ Submariner มาตั้งแต่ปี 1953 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถูกจับใส่ในคอลเล็กชั่น Submariner จนกระทั่งในปี 1954 ภายหลังการออกวางขายรุ่น 6204 บริษัท Rolex จึงได้เพิ่มตัว 6200 เข้ามาในคอลเล็กชั่น Submariner ด้วย Submariner 6200 ถูกประมาณคร่าว ๆ กันว่าผลิตออกมาในยุคนั้นเพียงแค่ 300 เรือนเพื่อมาเป็นตัวอย่างในการหาดีไซน์หน้าปัด และการวางตำแหน่งข้อความบนหน้าปัด มีตีตรา Serial Number ตั้งแต่เลข 319xx ถึง 32xxx สักษณะเด่นสำคัญของ Submariner 6200 คือเม็ดมะยมอันใหญ่ขนาด 8 มิลลิเมตรจนได้ฉายาว่า “Big Crown Submariner” และยังใช้ตัวเลขบอกเวลาในตำแหน่ง 3 นาฬิกา 6 นาฬิกา และ 9 นาฬิกา ตำแหน่ง 12 นาฬิกาถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์สามเหลี่ยมหัวกลับ และตำแหน่งเวลาอื่นๆ เป็นแท่งสี่เหลี่ยม ที่ต้องบอกว่าตัวเลข 3,6,9 นี้สำคัญนักเป็นเพราะว่า คุณจะไม่ได้เห็นการใช้ตัวเลขอารบิกแบบนี้บนหน้าปัด Submariner โมเดลอื่นๆ แน่นอน ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 3,000,000 - 6,000,000 บาท

“Rolex Submariner 6204”
“Rolex Submariner 6204” รุ่นเปิดตัวขายอย่างเป็นทางการ
นาฬิกาวินเทจเรือนที่สอง เป็นนาฬิกาที่ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการเรือนแรกของคอลเล็กชั่น Submariner ในปี 1954 หน้าปัดสลักชื่อแบรนด์ Rolex ใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และสลักชื่อคอลเล็กชั่น Submariner เหนือตำแหน่ง 6 นาฬิกา ตำแหน่งบอกเวลาเคลือบด้วยสีทอง ฉาบพรายน้ำ เข็มสั้นและเข็มยาวเป็นรูปทรงดินสอ เป็นรุ่นเดียวที่ไม่มีสัญลักษณ์ Mercedes บนเข็มสั้น และยังถูกปรับตัวเรือนและเม็ดมะยมให้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่น 6200 ส่วนราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 - 900,000 บาท

“Rolex Submariner 6538”
“Rolex Submariner 6538” = “Bond Submariner”
ต่อมาเป็นนาฬิกาวินเทจเรือนที่สาม Submariner 6538 ถือว่าเป็นตัวแจ้งเกิดจนทำให้ Rolex Submariner โด่งดังในวงการนาฬิกาโลกเลยก็ว่าได้ เพราะว่ารุ่น 6538 คือรุ่นที่ Sean Connery ใส่เข้าฉากในภาพยนตร์เรื่อง James Bond 007 เรียกรุ่น 6538 กันง่ายๆ ว่า “Bond Submariner” จุดเด่นสำคัญของ 6538 คือขนาดเม็ดมะยมที่ใหญ่จนได้ฉายาว่า “Big Crown” พื้นหน้าปัดสีดำตัดกับหลักเวลาที่เป็นจุดกลมและรูปทรง Baton สีทองเคลือบพรายน้ำ มีสัญลักษณ์ Mercedes บนเข็มสั้น ประกอบกับเทคนิคตัวเรือนแบบ Oyster Case และการไขน็อตระหว่างเม็ดมะยมที่ใหญ่เข้ากับตัวเรือนอย่างแน่นหนา ทำให้ 6538 สามารถกันน้ำและแรงดันน้ำได้ถึง 300 เมตร หรือ 1,000 ฟุต Bond Submariner รุ่นนี้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 2,700,000 - 3,600,000 บาท

“Rolex Submariner 5513”
“Rolex Submariner 5513” วิวัฒนาการไม่หยุดนิ่ง
หลังจากรุ่น 6538 คอลเล็กชั่น Submariner ก็เปลี่ยนเลข Ref. มาใช้เลขขึ้นต้นเป็นเลข 5 แทน และออกวางขายในตลาดนาฬิกาเมื่อปี 1962 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เซียนนาฬิกาอยากได้มาสะสมไว้ในคอลเล็กชั่นของตัวเอง ความแตกต่างของ 5513 คือการมี Crown Guard เข้ามาอยู่ด้านข้างเพื่อช่วยล็อกและป้องกันเม็ดมะยมจากการหมุนหรือการถูกกระแทก นอกจากนี้ก็ยังมีการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแบบหน้าปัด โดย 5513 ที่ถูกผลิตขึ้นแรกๆ จะเป็นหน้าปัดแบบ Gilt Gloss Dial จนกระทั่งในปี 1966 ได้เปลี่ยนแบบหน้าปัดมาเป็นแบบ Matte Dial และเป็นดีไซน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดานาฬิกา Submariner 5513 ราคาอยู่ที่ประมาณ 225,000 - 480,000 บาท

“Rolex Submariner 1680”
“Rolex Submariner 1680” กับฟังก์ชั่น Date-displaying เป็นตัวแรก
ปิดท้ายความวินเทจด้วย นาฬิกาคอลเล็กชั่น Submariner แบบมีฟังก์ชั่นบอกวันที่ (Date-displaying) ออกมาเป็นตัวแรกในปี 1969 กับโมเดล 1680 โดยฟังก์ชั่นวันที่ของ Submariner 1680 ถูกวางตำแหน่งบนหน้าปัดไว้ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ใช้วัสดุที่เรียกกันว่า Cyclops lens (เลนส์ขยาย) เชื่อมติดเป็นชิ้นเดียวกันกับกระจกหน้าปัดชนิด Sapphire Crystal ด้วยความที่เป็นเลนส์ชนิดขยายใหญ่ก็จะทำให้ตัวเลขวันที่ถูกมองเห็นง่ายขึ้น Submariner 1680 ถูกผลิตออกมาให้มีความแตกต่างหลักๆคือ นาฬิการุ่น 1680 เรือนแรกๆ จะมีคำว่า Submariner บนหน้าปัดเป็นสีแดง หรือที่เรียกกันว่า “Red Submariner” จนในตอนหลังถูกเปลี่ยนเป็นตัวหนังสือสีขาวในปี 1973 นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างและการปรับเปลี่ยนความบางและความหนาของตัวหนังสือบนหน้าปัดนาฬิกาอีกด้วย ส่วนราคานั้นอยู่ที่ประมาณ 210,000 - 600,000 บาท ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ารุ่น Red Submariner ก็จะแพงเป็นพิเศษ

“Rolex Submariner 16610” และ “Rolex Submariner 14060”
“Rolex Submariner 16610” และ “Rolex Submariner 14060” โมเดลเริ่มต้นสู่ยุคใหม่
เริ่มต้นที่ Submariner 16610 ถือเป็นโมเดลเริ่มต้นสู่ยุค Modern Submariner ผลิตออกมาในปี 1988 ความโดดเด่นของรุ่นนี้ที่เห็นเด่นชัดคือ หน้าปัดของ 16610 เป็นสีดำสนิทดูเรียบหรู ทำมาเพื่อเอาใจคนที่ชอบ Luxury Watch ตัวเรือนทำจาก Stainless Steel กรอบหน้าปัดเป็นขอบฟิล์ม และหากสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่ามีการสลัก Serial Number และชื่อแบรนด์ Rolex ไว้บนกรอบหน้าปัดด้านใน ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ Submariner 16610 คือตัว Movement ภายในที่ใช้เป็น Rolex’s calibre 3135 ซึ่งเป็น Movement ที่ยังถูกใช้อยู่ในปัจจุบันสำหรับนาฬิกา Submariner ที่มีฟังก์ชั่นบอกวันที่ (Date-displaying) ราคาอยู่ที่ 150,000 - 255,000 บาท ส่วนตัวที่สองของหมวดหมู่โมเดิร์น คือ Submariner 14060 ผลิตและวางขายในช่วงปี 1990 ดีไซน์ภายนอกดูเรียบง่ายชวนให้ย้อนนึกถึงนาฬิการุ่น Vintage Submariner เพราะว่าเป็นรุ่นแบบ No-date (แฟนคลับ Rolex หลายคนก็ไม่ชอบให้มีตัวบอกวันที่บนหน้าปัด) กระจกหน้าปัดเป็นแบบ Sapphire Crystal และเม็ดมะยมเป็น Triplock Crown กันน้ำได้ 300 เมตร ราคาอยู่ที่ประมาณ 135,000 - 195,000 บาท

“Rolex Submariner 116610LN” และ “Rolex Submariner 114060”
“Rolex Submariner 116610LN” และ “Rolex Submariner 114060” มาพร้อมกับความคลาสสิก
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน Submariner ที่มีหน้าต่างวันที่ และไม่มีหน้าต่างวันที่ ถูกอัปเกรดเป็นขอบ Ceramic หลักชั่วโมงมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนพรายน้ำจากสีเขียวก็กลายมาเป็นสีฟ้า และมีการเพิ่มเลข 1 ที่ Serial Number ตัว Date จะกลายเป็น 116610LN และ No Date เป็น 114060 ตัว Rolex Submariner 116610LN นั้นผลิตขึ้นในปี 2010 ที่มีความคลาสสิก ขอบหน้าปัด Cerachrom สีดำ มีมาร์คเกอร์ชั่วโมงเรืองแสงขนาดใหญ่ เป็นรุ่นที่มีฟังก์ชั่นบอกวันที่ (Date-displaying) ราคาประมาณ 306,000 บาท ถึงแม้ว่า Submariner 114060 จะถูกผลิตเมื่อปี 2012 และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ถือว่าเป็น Submariner อีกหนึ่งรุ่นหนึ่งที่ยังคงความคลาสสิคแบบ No-date ไว้ รูปร่างหน้าตาคล้ายกับ Submariner 14060 แต่ถูกอัพเกรดความทนทานป้องกันการสึกกร่อนด้วยกรอบหน้าปัดชนิดเซรามิก (Ceramic Bezel) หลักชั่วโมงทำจากทองคำขาว 18 ct. ราคาเรือนนี้อยู่ที่ประมาณ 195,000 - 240,000 บาท

“Rolex Submariner 16610LV” และ “Rolex Submariner 116610LV”
“Rolex Submariner 16610LV” และ “Rolex Submariner 116610LV” มาพร้อมกับความโมเดิร์น
อีกรุ่นที่หลายๆคนจับจ้องอยากจะเป็นเจ้าของ Rolex Submariner 16610LV เปิดตัวในปี 2003 หน้าปัดสีดำตัดกับขอบตัวเรือนสีเขียวสดใส ตัวเรือนและสายนาฬิกาผลิตมาจาก stainless steel 904L มีความทนทานต่อการสึกกร่อนสูงและให้ความเงางามเป็นพิเศษ ถือเป็นการเปลี่ยนโฉมครั้งใหม่ของ Rolex ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งแฟนๆ ของ Rolex จะรู้จักนาฬิการุ่นนี้ในชื่อของ ""Kermit"" ราคาจะอยู่ที่ 370,000 - 390,000 บาท ปิดท้ายด้วยความโมเดิร์นเป็นรุ่นยอดฮิตที่ถูกตาต้องใจเซียนนาฬิกาหลายๆ คน นั่นก็คือ Submariner 116610LV รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ถูกเปิดตัวขึ้นแทน ""Kermit"" ในปี 2010 มีชื่อเล่นที่เรียกกันในวงการนาฬิกาว่า “The Hulk” เป็นโมเดลที่มีฟังก์ชั่น Date-displaying กรอบหน้าปัดเป็นแบบเซรามิก (Ceramic Bezel) สีเขียวสะดุดตาเช่นเดียวกันกับสีพื้นหน้าปัด หลักชั่วโมงทำจากทองคำขาว 18 ct. ราคาอยู่ที่ 255,000 - 390,000 บาท
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่