4 จุดยืนของแบรนด์นาฬิกาข้อมือ
ไม่ว่าใครก็รักและหวงแหนแบรนด์ที่ตนชื่นชอบ การตั้งเกณฑ์แบ่งกลุ่มมาตัดสินตัวแบรนด์จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะแฟนคลับย่อมรู้ดีว่าสินค้าของแบรนด์โปรดนั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน หากแบรนด์ที่ตนชื่นชอบอยู่ในอันดับสูงก็น่าดีใจ แต่หากอยู่ต่ำกว่าที่คิดไว้ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าสบอารมณ์ เราจึงจัดแบ่งแบรนด์ต่าง ๆ ในหมวดหมู่ใหม่ โดยไม่วัดจากตัวสินค้าแต่ละชิ้น แต่วัดจากจุดยืนโดยรวมของแต่ละแบรนด์ว่ามุ่งเน้นไปทางไหนมากที่สุด และจะได้ทราบแน่ชัดว่าเราสามารถคาดหวังคุณภาพของเรือนนาฬิกาจากแต่ละเจ้าได้ถึงระดับไหน โดยจะแบ่งระดับออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ศิลปะการทำนาฬิการะดับมาตรฐาน (Standard Horology), ศิลปะการทำนาฬิการะดับชำนาญ (Strong Horology), ศิลปะการทำนาฬิกาขั้นสูง (High Horology), และศิลปะการทำนาฬิการะดับดีเลิศ (Exceptional Horology)

ศิลปะการทำนาฬิการะดับมาตรฐาน
ศิลปะการทำนาฬิการะดับมาตรฐาน (Standard Horology)
แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น Brellum, Fortis, longines, Oris, Alpina, Frédérique Constant, Maurice Lacroix และ Sinn เป็นต้น ล้วนมีราคาอยู่ในระดับ Entry Level ทั้งนั้น คุณภาพแต่ละเรือนถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากอยู่แล้ว คือนาฬิกามีหน้าตาสวยงามหรูหรา มีฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และมีความเที่ยงตรงแม่นยำ เพียงแต่ผู้ผลิตเหล่านี้มุ่งเน้นในการออกแบบหน้าตาแล้วให้บริษัทอื่นผลิต Movement ให้ ซึ่งนาฬิกาส่วนใหญ่ที่แพงกันนั้นไม่ได้แพงเพราะแค่ใช้วัสดุราคาแพง แต่แพงเพราะตัว Movement มากกว่า และยิ่งเป็น In-house Movement ยิ่งมีการผลิตที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์กว่าการจ้างผู้ผลิตแน่นอน สำหรับในกลุ่มระดับพื้นฐานนี้จะใช้ Movement ทั่วไปจากที่ผลิตจาก ETA หรือ Sellita ซึ่งทั้งสองแบรนด์นี้คือฐานผลิต Movement หลักให้แก่แบรนด์นาฬิกาต่าง ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า ETA นั้นไม่ดี เครื่อง ETA อาจจะดีกว่า In-House บ้างรุ่นด้วยซ้ำแต่ในเชิง Horology ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า

ศิลปะการทำนาฬิการะดับชำนาญ
ศิลปะการทำนาฬิการะดับชำนาญ (Strong Horology)
นาฬิการะดับชำนาญนี้คือการต่อยอดจากระดับมาตรฐาน โดยแบรนด์แต่ละแบรนด์จะมีความสามารถในการผลิต In-house Movement เป็นของตัวเองออกมาได้อย่างดี แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น Breitling, Cartier, Corum, Monthblanc, Omega, Panerai, Credor, Garrick, Jacom & Co, และ Zenith เป็นต้น แต่แบรนด์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาที่ทุกคนในโลกต้องนึกถึงเมื่อพูดถึงคำว่านาฬิกาหรูก็คือ Rolex นั่นเอง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความถึกทนและพึ่งพาได้ แถม Movement แต่ละตัวก็ไม่ธรรมดาโดยเฉพาะรุ่นที่มีฟังก์ชั่น Chronograph ที่มักจะผ่านการทดสอบความแม่นยำจาก COSC เสมอ ทำให้ Rolex มี Movement ที่คุณภาพดีทั้งหน้าตาและการใช้งาน แต่งาน Finish อาจจะยังไม่เนี้ยบเท่ากับศิลปะการทำนาฬิกาในระดับที่สูงกว่านี้ ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่า Tudor แบรนด์ลูกของ Rolex จะมีคุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์แม่ แต่ Tudor เองก็กวาดรางวัล GPHG มาได้ถึง 4 รุ่น ในขณะที่ Rolex ยังไม่เคยได้รางวัล GPHG เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น ถ้าวัดกันในเชิงศิลปะการทำนาฬิกา (Horology) แล้ว ทั้งสองแบรนด์อยู่ใน “ระดับ” เดียวกัน

ศิลปะการทำนาฬิกาขั้นสูง
ศิลปะการทำนาฬิกาขั้นสูง (High Horology)
แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น A. Lange & Söhne, Audemars Piguet, Blancpain, Breguet, Dewitt, Glashütte Original, Jaeger LeCoultre, Patek Philippe, Vacheron Constantin, และ Ulysse Nardin เป็นต้น หากจะพูดถึงคำว่านาฬิกา “หรูหรา” มันก็ต้องหรูหราจริง ๆ ให้สมกับศิลปะการทำนาฬิกาขั้นสูง และกลุ่มที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “Holy Trinity” สุดยอดแบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ประกอบไปด้วย Audemars Piguet, Patek Philippe, และ Vacheron Constantin แน่นอนว่ามีจุดเด่นในเรื่องการประกอบ ผลิต และออกแบบ In-house Movement ด้วยตัวเอง นอกจากจะได้กลไกคุณภาพสูงและประกอบด้วยวัสดุหรูหราราคาแพงแล้ว ยังมีงาน Finish ที่เนี้ยบที่ใช้เวลานานและประดิษฐ์ออกมาด้วยความประณีตอย่างถึงที่สุด

ศิลปะการทำนาฬิการะดับดีเลิศ
ศิลปะการทำนาฬิการะดับดีเลิศ (Exceptional Horology)
สุดยอดแบรนด์นาฬิกาที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะการทำนาฬิกาได้อย่างดีเลิศ และตอบสนองตลาด Nich Market แบบขั้นสุด เพราะผลิตปีหนึ่งแค่ไม่กี่เรือน เช่น Bovet, F.P. Journe, Greubel Forsey, H. Moser & Cie, Louis Moinet, Richard Mille, Singer Reimagined, Philippe Dufour, Voutilainen, Bexei, Gronefed, LEROY, และ R. W. Smith เป็นต้น แบรนด์เหล่านี้คือที่สุดของที่สุดในวงการนี้จริง ๆ ยกตัวอย่างแบรนด์ Philippe Dufour ที่มาในคอนเซ็ปต์ Simplicity คือมีความมินิมอล เรียบหรูสวยงาม จนได้รับฉายาว่า Independent Watchmaker เพราะทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาทุกเรือนที่ถูกผลิตขึ้นได้รับการออกแบบและขัดแต่งโดยชายผู้เดียว ซึ่งก็คือ Philippe Dufour จึงทำให้นาฬิการาคาสูงมาก คุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด วัสดุแพงที่สุด และมีการประกอบที่เนี้ยบที่สุดเช่นกัน และที่สำคัญคือหายากที่สุดเพราะผลิตแต่ละรุ่นออกมาน้อยมาก ยิ่งทำให้ราคาสูงเพราะความหายากเข้าไปอีก เพราะกว่าจะผลิตแต่ละเรือนได้ต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ซึ่งต้องใช้การออกแบบและผลิตชิ้นส่วนเองด้วยมือทั้งหมด ถือว่าเป็นหนึ่งใน Master Craftmanship ของวงการนาฬิกาตัวจริง
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่