ประวัติแบรนด์ Audemars Piguet กว่าจะมาเป็น Royal Oak | Auction House
ดูวิดีโอ ประวัติแบรนด์ Audemars Piguet | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

ประวัติศาสตร์แบรนด์ Audemars Piguet
Audemars Piguet หรือที่เรียกกันอย่างย่อว่า AP เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิการะดับ Holy Trinity ที่มีประวัติศาสตร์ในการผลิตนาฬิกามาอย่างยาวนานกว่า 146 ปี ด้วยความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความซับซ้อนอย่าง Grand Complication ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความประณีตและความงดงามจากฝีมือช่างประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูง รวมทั้งมีคอลเลกชันอันโดดเด่นอย่าง Royal Oak ที่ทั่วโลกให้ความสนใจและเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างแพร่หลาย ทีนี้มาดูกันว่าเส้นทางของ AP มีความเป็นมาอย่างไร และเพราะอะไรถึงครองใจคนทั่วโลกได้มากขนาดนี้

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Audemars Piguet
ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Audemars Piguet ได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1875 เมื่อ Jules Louis Audemars (จูลส์-หลุยส์ โอเดอะมาร์ส) และ Edward August Piguet (เอ็ดวาร์ด -ออกัสต์ ปิเกต์) ชายหนุ่มช่างนาฬิกามากฝีมือทั้งสองคน ที่มีความตั้งใจอันแรงกล้าอยากจะสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความซับซ้อนคุณภาพสูง ทั้งคู่ได้ตัดสินใจร่วมกันก่อตั้งโรงงานขึ้นในหมู่บ้าน Le Brassus ณ เมือง Vallée de Joux ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และจัดตั้งบริษัทขึ้นในปี ค.ศ. 1881 ภายใต้ชื่อ Audemars Piguet & Cie

Audemars Piguet ได้เริ่มสั่งสมประสบการณ์และชื่อเสียงอย่างก้าวกระโดด โดยที่ Jules Audemars สามารถออกแบบและผลิตกลไกฟังก์ชันชั้นสูงสำหรับ Pocket Watch หรือ นาฬิกาพก จนทำให้หลากหลายแบรนด์นาฬิกาต่างต้องการให้ Audemars Piguet ช่วยผลิตกลไกให้ ในขณะที่ Edward Piguet ก็ช่วยแบรนด์เปิดสำนักงานที่ Geneva ในปี 1885 และเริ่มขยายแบรนด์ออกสู่ตลาดในต่างประเทศ โดยการเปิดสาขาที่ London ในปี 1888 และก้าวไปสู่การเปิดสาขาที่ New York, Buenos Aires, Berlin และ Paris ในปีต่อมา

Audemars Piguet สร้างสถิติระดับโลก
ในปี 1899 Audemars Piguet ก็เริ่มก้าวเข้าสู่เวทีระดับโลกอย่างเต็มตัว โดยทางแบรนด์สามารถผลิตกลไกที่มีฟังก์ชัน Minute Repeater หรือที่รู้จักกันในชื่อ ระบบกลไกตีบอกเวลาด้วยเสียง ที่ใช้กับนาฬิกาข้อมือได้เป็นครั้งแรกของโลก และในปีเดียวกัน ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาพก Grand Complication ที่ประกอบไปด้วยฟังก์ชันอันสลับซับซ้อน

ถึงแม้ Jules Audemars และ Edward Piguet จะจากไปในปี 1918 และ 1919 แต่ลูกชายของเขาทั้ง 2 คนนั่นก็คือ Paul Louis Audemars และ Paul Edward Piguet ทั้งคู่ต่างเป็นช่างนาฬิกามากฝีมือ ก็ยังต้องการจะสานต่อปณิธานและด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ในการสร้างนาฬิกาที่มีความซับซ้อนคุณภาพสูง พวกเขาจึงท้าทายความสามารถของตัวเอง จนในที่สุดในปี 1921 แบรนด์ AP ก็สามารถประดิษฐ์คิดค้นนาฬิกาแบบ "ที่สุดของโลก" ได้ถึง 3 เรือนด้วยกัน เริ่มจากนาฬิกาข้อมือแบบ Jumping-Hour เรือนแรกของโลก ถัดมาทางแบรนด์ประสบความสำเร็จในการผลิตกลไกนาฬิกาพกที่บางที่สุด ณ ขณะนั้น ซึ่งก็คือ Caliber 17SVF#5 ที่มีความบางเพียง 1.32 มิลลิเมตร และสุดท้าย Audermars Piguet ได้เปิดตัวกลไก Minute Repeater ที่เล็กที่สุดในโลกด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 15.8 มิลลิเมตร

แต่แล้ววิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงยุค 30s ก็ส่งผลต่อทางแบรนด์ AP เป็นอย่างมากจนถึงขั้นที่บริษัทเกือบจะต้องปิดตัวลงไป แต่พวกเขายังคงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนานาฬิกาไม่เสื่อมคลาย จนกระทั่งในปี 1934 ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือแบบ Skeleton เรือนแรกของแบรนด์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นเรือนแรกของโลกด้วย โดยนาฬิกาแบบ Skeleton นี้ จะมีหน้าปัดและฝาหลังแบบโปร่ง ที่ทำให้สามารถมองเห็นกลไกที่อยู่ข้างในของนาฬิกาได้ ซึ่งกระบวนการในการผลิตจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความประณีตในการรังสรรค์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับการขัดแต่งหรือแกะสลักขึ้นมา เพื่อให้รูปแบบของนาฬิกาออกมาสวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด

หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่เริ่มคลี่คลาย และสถานการณ์ของแบรนด์เริ่มดีขึ้น ทาง AP ก็เดินหน้าต่อไปพร้อมกับเปิดตัว Calibre 9ML ในปี 1938 ซึ่งเป็นกลไกนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุดในโลกในเวลานั้น โดยมีความหนาทั้งหมดเพียง 1.64 มิลลิเมตร และกลไกนี้เองยังเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานร่วมกันของ AP กับแบรนด์นาฬิกาอย่าง Jaeger-LeCoultre และ Vacheron Constantin ในยุคนั้นอีกด้วย

Royal Oak ไอค่อนระดับตำนาน
ในช่วงยุค 70s เป็นช่วงที่ตลาดนาฬิกาสวิสฯ ต้องเผชิญกับ Quartz Crisis อันเป็นเหตุให้นาฬิกาหลายแบรนด์ก็ต้องทยอยปิดตัวลงไป ส่วนแบรนด์ที่เหลือก็ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยการปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ ซึ่ง Audermars Piguet ก็ต้องต่อสู้เพื่ออยู่รอดเช่นกัน โดยช่วงนั้นทางแบรนด์ผลิตเพียงแค่นาฬิกาแบบ Dress Watch เท่านั้น แต่แล้วการทำการบ้านอย่างหนักของแบรนด์ทำให้ได้ผลตอบรับที่มาจากตลาดนาฬิกาเพื่อนบ้านอย่างประเทศอิตาลีที่บอกว่า กำลังให้ความสนใจกับนาฬิกา Luxury ที่ตัวเรือนทำจาก Stainless Steel ดังนั้น AP จึงตัดสินใจว่าจะลองทำนาฬิกาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดนี้ดู และด้วยความที่แบรนด์ต้องการให้นาฬิกาใหม่นี้ออกมามีหน้าตาที่ดูโดดเด่นและแปลกตากว่ารุ่นอื่น ๆ AP จึงเลือก “Gerald Genta” นักออกแบบนาฬิกาลูกครึ่งสวิสฯ-อิตาเลี่ยนที่ดังเป็นอันดับหนึ่งในแวดวงการออกแบบนาฬิกาให้มาช่วยออกแบบให้ ซึ่ง Gerald Genta ก็ตอบตกลงในทันทีที่ได้รับการติดต่อ

ในช่วงเช้าวันหนึ่ง Gerald Genta ได้ใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในการร่างแบบนาฬิกา Royal Oak ที่เป็นการฉีกกรอบดีไซน์นาฬิกาในแบบเดิม ๆ ของแบรนด์ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนาฬิกาเรือนนี้เป็นสไตล์ Sport Luxury แบบที่ AP ไม่เคยทำมาก่อน โดดเด่นด้วยกรอบหน้าปัดทรงแปดเหลี่ยม หน้าปัดสีน้ำเงินลายตาราง Petite Tapisserie มีตัวน็อตทรงหกเหลี่ยมทำจากทองประดับอยู่ทุกมุมบนกรอบหน้าปัด ส่วนที่มาของชื่อ Royal Oak มาจากต้นโอ๊คเก่าแก่ที่พระเจ้าชาร์ลที่ 2 ใช้หลบซ่อนตัวจากกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐสภาช่วงภาวะสงครามกลางเมือง Worcester ทำให้ต้นโอ๊คต้นนั้นถูกขนามนามว่า Royal Oak และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องและความปลอดภัยตั้งแต่นั้นมา ซึ่งในภายหลังกองทัพเรืออังกฤษก็ได้นำมาตั้งเป็นชื่อเรือรบ "HMS Royal Oak" และ AP ก็ได้นำชื่อ Royal Oak นี้มาตั้งเป็นชื่อนาฬิกาสุดฮิตอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

โดยในปี 1972 แบรนด์ AP ก็ได้เปิดตัว Royal Oak ในงาน Basel Fair โดยมีราคาอยู่ที่ 3,300 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 110,000 บาท ซึ่งแพงกว่านาฬิกาเรือนทองของ Patek Philippe และแพงกว่า Rolex Submariner ถึง 10 เท่าในตอนนั้น จึงถูกวิจารณ์อย่างหนัก ในเรื่องการดีไซน์ที่มีความแปลกแหวกแนว รวมถึงการเชื่อมต่อสายกับตัวเรือนที่แปลกตามองเห็นสกรูแบบที่ไม่มีใครทำ ซึ่งในช่วงแรกแบรนด์ AP ผลิตและวางขายนาฬิกา Royal Oak จำนวน 1,000 เรือนแรก โดยใช้เลข Ref. 5402 หรือที่เรียกกันว่า “A-series” และใช้เวลาขายเกือบ 3 ปีเต็ม หลังจากนั้นไม่นาน นักสะสมก็เริ่มให้ความสนใจ Royal Oak เพิ่มขึ้น จึงเริ่มนำนาฬิการุ่นนี้มาใช้กันมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่านาฬิกามีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครและดูแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเริ่มต้นซื้อเก็บสะสมจนทำให้นาฬิการุ่นนี้ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมนาฬิกาอย่างล้นหลาม

กำเนิดกลไก Automatic Tourbillon ที่บางที่สุดในโลก
หลังจากที่ Royal Oak ได้ถือกำเนิดขึ้น ก็ทำให้แบรนด์ Audemars Piguet กลับมาพร้อมกับความดังระดับโลกที่ทำให้เหล่านักสะสมต้องการจะครอบครองนาฬิกา Sport Luxury อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร โดยทาง AP ก็ยังไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และยังคงทำงานอย่างหนักเพื่อต่อยอดและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ จนกระทั่งในปี 1986 แบรนด์ AP ก็สามารถสร้างสถิติโลกอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Audemars Piguet 25643 Ultra Thin Automatic Tourbillon Calibre 2870 นาฬิกากลไกออโตเมติกทูร์บิญองที่บางเฉียบที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา โดยกลไกมีความหนารวมเพียง 4.8 มิลลิเมตร ซึ่งความสามารถในการสร้างสรรค์นาฬิกาของ AP ก็ได้สร้างความฮือฮาให้กับวงการนาฬิกาทั่วโลก และทำให้ชื่อเสียงของ AP ยิ่งโด่งดังมากขึ้นไปอีก

กำเนิด Royal Oak Offshore
Royal Oak Offshore ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1993 โดยพัฒนามาจากนาฬิกายอดฮิตตลอดกาลอย่าง Royal Oak ซึ่งเป็นรากฐานต้นแบบ โดยทางแบรนด์ AP ต้องการให้นาฬิการุ่นนี้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้มากขึ้น รวมถึงกลุ่มคนที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง จึงได้ว่าจ้างนักออกแบบรุ่นใหม่ชื่อ Emmanuel Gueit ให้มาออกแบบนาฬิกาเรือนใหม่ จึงออกมาเป็น Royal Oak Offshore อันโดดเด่นด้วยความสปอร์ตสุดขีดที่มาพร้อมหน้าปัดขนาดใหญ่ 42 มิลลิเมตร จนได้รับขนานนามว่า "The Beast" ด้วยภาพลักษณ์อันดุดันและแข็งแกร่ง มีการดีไซน์ละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนโค้งที่เชื่อมสายข้อมือ ปุ่มกดด้านข้าง เม็ดมะยมติดซีลยางที่มีดีไซน์แบบร่วมสมัย หน้าปัดลายตาราง Tapisserie อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
โดย Royal Oak Offshore ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักแสดง นักกีฬา ศิลปินแร็ปเปอร์ และนักสะสมที่ชื่นชอบแฟชั่น เรียกได้ว่าเข้าถึงผู้คนได้หลากหลายอย่างแท้จริง

Audemars Piguet ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน แบรนด์ Audemars Piguet ยังคงสร้างสรรค์นาฬิกาออกมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ และแน่นอนว่ายังคงคอนเซ็ปต์ในการผลิตนาฬิกาคุณภาพสูงที่มีความสลับซับซ้อน มีการใช้วัสดุที่แปลกใหม่ อย่างในปี 2017 ทางแบรนด์ได้เปิดตัว Royal Oak Perpetual Calendar With Ceramic นาฬิการุ่นแรกของแบรนด์ที่ใช้วัสดุสุดล้ำอย่าง White Ceramic หรือ Black Ceramic ที่มีคุณสมบัติด้านความแข็งแรงทนทาน กันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือมีน้ำหนักเบามาก ถึงแม้รุ่นนี้จะไม่ใช่ Limited Edition แต่ก็เป็นการผลิตที่จำกัด ทำให้มีราคาขายต่อมือสอง มีมูลค่าสูงถึง 5.2 ล้านบาท แม้ว่าราคาหน้าร้านจะอยู่ที่ 2.9 ล้านบาทก็ตาม

ต่อมาในปี 2018 ทางแบรนด์ก็ทำสถิติโลกอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Royal Oak Selfwinding Perpetual Calendar Ultra-Thin นาฬิกาข้อมือปฏิทินถาวรอัตโนมัติที่บางที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของ Audemars Piguet ขับเคลื่อนด้วยกลไกที่บางเพียง 2.89 มิลลิเมตร และมีตัวเรือนสูง 6.3 มิลลิเมตร โดยนาฬิกานี้ใช้เวลาในการคิดค้นและออกแบบนานถึง 5 ปี จนสามารถสร้างสถิติใหม่ได้

นอกจากนี้ก็ยังได้เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ CODE 11.59 ในปี 2019 ซึ่งรุ่นที่น่าสนใจก็อย่างเช่น CODE 11.59 Perpetual Calendar ที่ตัวเรือนทำจาก Pink Gold 18k เมื่อพลิกไปดูด้านข้างจะพบกับตัวเรือนรูปทรงแปดเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซ่อนอยู่บริเวณกึ่งกลางของตัวเรือน หน้าปัดทำจากหินอเวนเจอรีน (Aventurine) สีน้ำเงิน คล้ายกับแสงระยิบระยับราวกับหมู่ดาวยามค่ำคืน เพิ่มความพิเศษด้วยโลโก้ 3 มิติของ Audemars Piguet เกิดจากการนำทองแผ่นบางมาซ้อนกันหลายชั้น ผ่านกระบวนการทางเคมีคล้ายการทำ 3D Printing โดยตัวอักษรแต่ละตัวจะถูกเชื่อมไว้ด้วยเส้นที่มีความบางเทียบเท่ากับเส้นผม ก่อนจะประดับลงบนพื้นหน้าปัดด้วยมืออย่างประณีต มาพร้อมระบบปฏิทินถาวร แสดงวัน วันที่ เดือน และปีอธิกสุรทินได้อย่างเที่ยงตรง ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 5134 และสามารถสำรองพลังงานได้สูงสุด 40 ชั่วโมง

ต่อมาในปี 2021 แบรนด์ AP ได้จับมือกับ Marvel ค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ระดับโลก เพื่อรังสรรค์นาฬิกาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสวยงามและล้ำสมัย โดยการเปิดตัว Audemars Piguet Royal Oak Concept Black Panther Flying Tourbillon นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคาแรกเตอร์ Black Panther โดยตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 42 มิลลิเมตร ใช้สีดำม่วงลวดลายและเส้นสายจากชุดสูทของ Black Panther เป็นธีมหลัก โดดเด่นด้วยหน้าปัด White Gold เคลือบสีดำเสริมดีไซน์สุดไฮเทคที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยการแกะสลักรูป “Black Panther” แบบ 3 มิติด้วยมือ มีการโชว์กลไก Flying Tourbillon ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา ประดับด้วยโลโก้ AP อยู่ตรงกลาง มาพร้อมสายยางสีม่วงตัวล็อกพับไทเทเนียม ส่วนด้านหลังใช้กระจกแซฟไฟร์ โชว์ให้เห็นกลไกไขลาน In-House Cal.2965 สำรองพลังงานได้สูงสุด 72 ชั่วโมง ขอบด้านในสีม่วงสลักข้อความไว้ว่า “Royal Oak Concept Limited Edition of 250 Pieces” หมายความว่านาฬิการุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดเพียงแค่ 250 เรือนเท่านั้น ราคา 150,000 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 5,120,000 บาท

ทั้งนี้ Royal Oak ก็ยังคงเป็นไอค่อนในตำนานมาโดยตลอด ซึ่งตอกย้ำด้วยรางวัล Iconic Watch Prize จากงาน Prix d’Horlogerie de Genève ซึ่งเป็นงานประกาศรางวัลนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปี 2021 เป็นเหมือนรางวัลออสการ์ของวงการนาฬิกา และรุ่นที่ได้รับรางวัลนั้นก็คือ Audemars Piguet Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin โดยความพิเศษของนาฬิการุ่นนี้อยู่ที่หน้าปัดและวัสดุที่ใช้ในการผลิต โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีเขียวรมควันที่ขัดแต่งด้วยเทคนิค Smoked Green Sunburst เพื่อให้ได้สีที่มีการไล่ระดับจากตรงกลางเขียวแผ่ออกไปยังขอบจะมีสีดำ ส่วนตัวเรือนผลิตจาก Platinum 950 ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใครและเป็นเอกลักษณ์ที่ใครมองก็รู้ว่าเป็น Royal Oak อย่างแน่นอน
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Grand Seiko มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek Philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck Muller ได้ที่นี่