รวมนาฬิกาไฮไลต์ในงาน Watches and Wonders Geneva
38 แบรนด์นาฬิกาชั้นนำเข้าร่วมแสดงในงาน Watches and Wonders Geneva
อย่างที่ทุกคนรู้ว่าเมื่อปีที่แล้วจากการระบาดของไวรัสโคโรน่า สภาแห่งชาติสวิสฯ (Swiss Federal Council) มีการสั่งห้ามทำกิจกรรมสาธารณะและกิจกรรมส่วนตัว ฉะนั้นงาน Baselworld จึงถูกยกเลิกไปด้วย และก็เกิดปัญหาขึ้นทำให้หลายแบรนด์ต้องออกมาประกาศถอนตัวจากงาน Baselworld ที่เลื่อนมาจัดในปี 2021 และในที่สุดงานก็ถูกยกเลิกเพราะมีหลายบริษัทถอนตัวไม่เข้าร่วม ซึ่งแบรนด์นาฬิกาหลายบริษัทก็ตกลงจะร่วมมือกันเปิดนิทรรศการของตนเองที่เจนีวาในเดือนเมษายน 2021 นี้ โดยร่วมมือกับ Watches & Wonders ในการจัดงาน ซึ่งจะมีทั้งการจัดงานแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยงานออนไลน์จะมีแบรนด์ชั้นนำ 38 แบรนด์เข้าร่วม งานจัดตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ถึง 13 เมษายน 2021 ซึ่งแบรนด์นาฬิกาทั้งหมดจะแสดงความแปลกใหม่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล watchandwonders.com ที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ โดยสร้างเครือข่ายการสนทนาและการโต้ตอบแบบออนไลน์เมื่อแบรนด์ต่าง ๆ เปิดตัวสินค้าใหม่ในปี 2021
โดย 38 แบรนด์ที่จะจัดแสดงผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมีดังนี้ A. Lange & Söhne, Arnold & Son, Baume & Mercier, Bvlgari, Carl F.Bucherer, Cartier, Chanel, Chopard, Chronoswiss, Corum, Ferdinand Berthoud, Greubel Forsey, H.Moser & Cie, Hermès, Hublot, IWC, Jaeger-LeCoultre, Louis Moinet, Louis Vuitton, Maurice Lacroix, Montblanc, Nomos, Oris, Panerai, Patek Philippe, Piaget, Purnell, Rebellion, Ressence, Roger Dubuis, Rolex, Speake-Marin, TAG Heuer, Trilobe, Tudor, Ulysse Nardin, Vacheron Constantin และ Zenith
ส่วนงานออฟไลน์ก็เป็นการจัดแสดงนาฬิกาแบบปกติเต็มรูปแบบในเซี่ยงไฮ้ภายหลังจากงานออนไลน์ โดยผู้เข้าร่วมงานสามารถเห็นสินค้าใหม่และเห็นรายชื่อแบรนด์ที่จะเข้าร่วมได้ เช่น Chopard, Rolex, Tudor และ Ulysse Nardin ซึ่งงานนี้จะเปิดให้เฉพาะสื่อมวลชน ผู้ค้าปลีกและผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาที่ได้รับเชิญเท่านั้น
โดย Auction House จะขอเลือกนาฬิกา 7 เรือนที่น่าสนใจในงาน Watches and Wonders Geneva มาให้ทุกคนได้ดูกันว่ามีความโดดเด่นหรือแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ อย่างไรบ้าง

Cartier Tank Must de Cartier Monochrome Colors
เริ่มต้นด้วย Cartier Tank Must de Cartier Monochrome Colors ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาสไตล์วินเทจรุ่นดั้งเดิมในปี 1970 คอลเลกชันใหม่นี้สีสันสดใส มีทั้งหมด 3 สีด้วยกัน คือ สีแดง น้ำเงิน เขียว คงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าจับคู่กับสายหนังจระเข้ที่เข้ากันเป็นอย่างมาก ตัวเรือนสเตนเลสสตีลโดดเด่นด้วยชุดเม็ดมะยมพร้อมพลอยไพลินสังเคราะห์สีน้ำเงิน ขนาด 33.7 x 25.5 มิลลิเมตร กระจกแซฟไฟร์ กันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดีทำงานด้วยระบบควอตซ์แบบโมโนโครม ราคา 85,540 บาท

Panerai Marina Esteel Pam 01157
Panerai Marina Esteel Pam 01157 หน้าปัดสีน้ำเงินไล่ระดับสี ขนาด 44 มิลลิเมตร จับคู่กับสายสีน้ำเงินเข้ากันเป็นอย่างดี โดดเด่นด้วยวัสดุ Steel ที่นำมารีไซเคิลและผลิตออกมาอีกครั้งในชื่อว่า E-Steel ซึ่งบนหน้าปัดทุกรุ่นที่จะมีคำว่า Esteel ประทับอยู่ทุกเรือน เพื่อให้แตกต่างจากรุ่นธรรมดาและให้รู้ว่านาฬิการุ่นนี้ผลิตจาก E-Steel ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ P.9010 และสำรองพลังงานได้สูงสุด 3 วัน ราคาประมาณ 280,000 บาท

Rolex Oyster Perpetual Explorer
Rolex Oyster Perpetual Explorer ที่โดดเด่นสุดก็คือ Explorer ref.124273 ใหม่ล่าสุดกับตัวเรือนทูโทน Yellow Rolesor คือการผสมผสานระหว่าง Oystersteel และทองคำ 18 กะรัต ขนาด 36 มิลลิเมตร จับคู่กับสายนาฬิกาวัสดุเดียวกับตัวเรือน สะดุดตาด้วยหน้าปัดสีดำทำให้อ่านเวลาได้ง่าย ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 3230 สำรองพลังงานได้สูงสุด 70 ชั่วโมง ราคา 370,800 บาท

Patek Philippe Nautilus
หลังจากที่ประธานบริษัท Patek Philippe ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะยกเลิกการผลิต Nautilus 5711/1A-010 (หน้าปัดน้ำเงิน) ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัว Patek Philippe Nautilus 5711/1A-014 นาฬิกาเวอร์ชั่นใหม่กับหน้าปัดโทนสีใหม่ด้วยหน้าปัดสี Olive-Green (สีเขียวมะกอก) พร้อมสลักลายเส้นแนวขวางเหมือนเดิมและยังคงใช้ตัวเรือน Stainless Steel ขนาด 40 มิลลิเมตร หนา 8.3 มิลลิเมตรเหมือนเดิม ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Caliber 26-330 S C และสำรองพลังงานได้สูงสุด 45 ชั่วโมง ราคา 1,071,800 บาท

Audemars Piguet Royal Oak
รุ่นต่อมาก็ยังคงคอนเซ็ปต์หน้าปัดสีเขียวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปีนี้ สังเกตได้จากหลายแบรนด์ที่เปิดตัวมาด้วยหน้าปัดโทนเขียวให้ทุกคนได้จับจองกัน และแบรนด์ AP ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เปิดตัว Audemars Piguet Royal Oak Extra-Thin 950 Platinum Smoked Green Sunburst ที่มีความพิเศษอยู่ตรงหน้าปัดและวัสดุที่ใช้ในการผลิต โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีเขียวรมควันที่ขัดแต่งด้วยเทคนิค Smoked Green Sunburst เพื่อให้ได้สีที่มีการไล่ระดับจากตรงกลางเขียวแผ่ออกไปยังขอบจะมีสีดำ โดยตัวเรือนมีขนาด 39 มิลลิเมตร ผลิตจาก Platinum 950 เช่นเดียวกับสายนาฬิกา ขัดแต่งลวดลายซาตินทั้งตัวเรือนและสาย เข็มนาฬิกาและหลักชั่วโมงแบบขีดทำจาก White gold มีหน้าต่างวันที่อยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ขับเคลื่อนด้วยกลไก Selfwinding Calibre 2121 และสามารถสำรองพลังงานได้สูงสุด 40 ชั่วโมง ส่วนราคาอยู่ที่ 97,100 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 3,329,000 บาท

A.Lange & Söhne Lange 1
A.Lange & Söhne กลับมาอีกครั้งกับการเปิดตัวคอลเลกชัน “Lange 1” Perpetual Calendar มีทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน คือหน้าปัดทองชมพูและหน้าปัดเทา ที่โดดเด่นเรื่องความซับซ้อนของฟังก์ชัน Perpetual Calendar มีหน้าปัดย่อยบอก Moonphase รอบหน้าปัดเป็นวงแหวนบอกเดือนพร้อมตัวชี้ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกาที่ซ่อนหน้าต่างบอกปีอธิกสุรทินเป็นตัวเลขอารบิก ขนาดตัวเรือน 41.9 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre L021.3 ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 150 เรือน ราคาหน้าปัดเทาประมาณ 3,700,000 บาท ส่วนหน้าปัดทองชมพูราคาประมาณ 4,100,000 บาท

Jaeger-LeCoultre Reverso
ปิดท้ายด้วยคอลเลกชัน Reverso ครบรอบ 90 ปี JLC จึงจัดเซอร์ไพรส์ยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัว Jaeger-LeCoultre Reverso Hybris Mechanica Calibre 185 นาฬิกาสี่หน้าปัดเรือนแรกของโลกและเป็น Reverso ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา! ที่มาพร้อมฟังก์ชันชั้นสูงที่มากถึง 11 ชนิดไว้ด้วยกัน โดยหน้าปัดแรกด้านหน้าจะแสดงเวลา วันและเดือน ที่เรียกว่าฟังก์ชัน Perpetual calendar จะอยู่ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา และมีตัวเลขบอกปีอธิกสุรทินที่ตำแหน่ง 1 นาฬิกา และที่สะดุดตาก็คือฟังก์ชันสุดซับซ้อนอย่าง Flying Tourbillon ที่ตำแหน่ง 7 นาฬิกา หน้าปัดที่ 2 แสดงค่าเวลาเดียวกันกับหน้าปัดด้านหน้า แต่เปลี่ยนจากเข็มบอกเวลามาเป็นระบบ Jumping Digital Hour และมีแฮมเมอร์ทั้งสองของ Minute Repeater ที่สามารถตีบอกเวลาด้วยเสียงเป็นชั่วโมงและนาทีได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการเว้นช่องว่างตรงกลางในช่วงนาทีที่ 1-14 ของชั่วโมง หน้าปัดที่ 3 ครึ่งด้านบนแสดง Moon Phase ของซีกโลกเหนือ และมีหน้าปัดย่อยสองวงด้านล่างบอกมุมโคจรของดวงจันทร์ ด้านล่างสุดของหน้าปัดมีตัวเลขปีคริสตศักราช 4 หลัก สุดท้ายคือหน้าปัดที่ 4 อยู่ด้านหลังสุดแสดง Moon Phase จากซีกโลกใต้ พื้นที่นอกนั้นแสดงแผนที่ดวงดาวแกะสลักและลงสีแล็คเกอร์ ส่วนด้านล่างสุดมีตัวเลขระบุหมายเลขประจำตัวเรือน
ตัวเรือนทำจาก White gold 18K ขนาด 51.2 x 31 มิลลิเมตร หนา 15.15 มิลลิเมตร จับคู่กับสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 185 สำรองพลังงานได้สูงสุด 50 ชั่วโมง ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 10 เรือนเท่านั้น ราคาประมาณ 60,700,000 บาท