Auction House Logo

ประวัติความเป็นมาของนาฬิกา IWC กับตำนานสุดยอด Pilot's Watch และ Portugieser

ประวัติความเป็นมาของนาฬิกา IWC กับตำนานสุดยอด Pilot's Watch และ Portugieser

ประวัติความเป็นมาของแบรนด์นาฬิกา IWC กับตำนานสุดยอด Pilot's Watch และ Portugieser

ดูวิดีโอ ประวัติความเป็นมาของแบรนด์นาฬิกา IWC | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

IWC (ไอ ดับเบิลยู ซี) แบรนด์นาฬิการะดับไฮเอนด์สัญชาติสวิสที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานกว่า 150 ปี ซึ่งหากพูดถึงแบรนด์นี้เราเชื่อว่าทุกคนจะนึกถึงนาฬิกานักบิน หรือนาฬิกาที่มีหน้าปัดทรงกลมคลาสสิก ที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำสูง มาพร้อมนวัตกรรมอันล้ำสมัย และฝีมือความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งครั้งนี้ Auction House จะพาทุกคนมาดูประวัติความเป็นมาของแบรนด์นาฬิกา IWC

จุดเริ่มต้นของ IWC

เรื่องราวของ IWC ได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1868 เมื่อ Florentine Ariosto Jones ช่างทำนาฬิกาชาวอเมริกันจากบอสตัน มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากจะยกระดับคุณภาพของกลไกนาฬิกาพกในประเทศอเมริกาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เขาจึงตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาก่อตั้งบริษัท International Watch Company ที่เมืองชาฟฟ์เฮาเซิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะต้องการผสานความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือของทางฝั่งสวิสฯให้เข้ากับเทคโนโลยีจากทางอเมริกา

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1875 เขาก็ได้สร้างโรงงานที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำไรน์ โดยความช่วยเหลือจาก Johann Heinrich Moser หุ้นส่วนธุรกิจ ผู้ซึ่งได้คิดค้นระบบที่ใช้พลังงานน้ำของแม่น้ำไรน์มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในการผลิตกลไก โดยพวกเขาตั้งเป้าที่จะผลิตกลไกของนาฬิกาพกให้ได้ถึง 10,000 ชิ้นต่อปี เพื่อส่งออกไปยังอเมริกา

ต่อมาในปี ค.ศ.1880 บริษัทก็ถูกขายให้กับให้กับ Johannes Rauschenbach หนึ่งในตระกูลนักอุตสาหกรรมเมืองชาฟฟ์เฮาเซิน ซึ่งภายใต้การบริหารใหม่นี้ได้มีการพัฒนากระบวนการผลิตและเริ่มขยายตลาดเพื่อจัดจำหน่ายนาฬิกาไปทั่วโลก รวมถึงได้มีการผลิตนาฬิกาพกที่มีความซับซ้อนด้วยระบบ Pallweber โดยจะแสดงเวลาแบบดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีความล้ำสมัยมากในยุคนั้น

Chapter 1 - กำเนิดนาฬิกาสุดไอคอนิก Pilot’s Watches และ Portugieser

ต่อมาในปี ค.ศ. 1905 หลังจากที่ Johannes Rauschenbach-Schenk ได้เสียชีวิตลง Ernst Jakob Homberger ผู้เป็นลูกเขยจึงได้เข้ามาบริหารกิจการเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้นำพาแบรนด์ IWC ฝ่าฟันอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ไปได้ นอกจากนี้แล้วยังได้ให้กำเนิดนาฬิกาสองคอลเลกชันหลักที่เป็นตำนานอยู่มาถึงทุกวันนี้ภายใต้การบริหารของเขาเอง

Pilot’s Watches กำเนิดนาฬิกานักบิน

ในปี ค.ศ. 1936 ทางแบรนด์ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวเองด้วยการเปิดตัว Mark IX ที่ถูกตั้งชื่อว่า Special Pilot's Watch นาฬิกานักบินเรือนแรกของแบรนด์ ที่ถูกผลิตขึ้นเองภายในบริษัท โดยลูกชายของ Ernst Jakob Homberger ซึ่งเป็นผู้นำในโปรเจกต์นี้และยังเป็นนักบินอีกด้วย เขาจึงทราบถึงความต้องการของนักบินเป็นอย่างดีว่านาฬิกาควรจะมีคุณสมบัติทางเทคนิคในด้านใดบ้าง และในที่สุดก็ออกมาเป็นนาฬิกา Special Pilot’s Watch (Ref. IW436) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนาฬิกานักบินที่กลายเป็นตำนานนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ที่มาของ Big Pilot’s Watches

ถัดมาในยุค 1940s ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แบรนด์ IWC ก็ได้ผลิตนาฬิกาให้กับกองทัพอากาศเป็นครั้งแรก จำนวน 1,000 เรือน โดยนาฬิกานี้มีชื่อว่า "B-Uhr" โดดเด่นด้วยตัวเรือนขนาด 55 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ IWC เคยผลิตมา และนาฬิการุ่นนี้เองที่เป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็น Big Pilot's Watches นาฬิกานักบินที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ IWC ในปัจจุบัน

Portugieser นาฬิกาในตำนาน

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในปี ค.ศ. 1939 ทาง IWC ก็ได้สร้างอีกหนึ่งตำนาน นั่นก็คือ นาฬิกาที่มีชื่อว่า Portugieser โดยเริ่มต้นจากการที่นักธุรกิจชาวโปรตุเกสสองคนได้เดินทางด้วยเรือมายังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสั่งทำนาฬิกาข้อมือที่มีความเที่ยงตรงสูงในระดับมารีนโครโนมิเตอร์ (Marine Chronometer) ซึ่งกลไกของนาฬิกาข้อมือในสมัยนั้นยังไม่มีความแม่นยำที่เพียงพอ ทำให้นักออกแบบของ IWC ต้องแก้โจทย์นี้โดยการนำกลไกของนาฬิกาพก Caliber 74-17H4 มาเป็นฐานในการผลิต

ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีขนาดอยู่ที่ 41.5 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่สำหรับผู้คนในยุคนั้น ส่วนการดีไซน์จะเป็นสไตล์ Bauhaus ที่มีความเรียบง่าย คลาสสิก สังเกตได้จากตัวเลขอารบิกพร้อมกับหน้าปัดที่สะอาดตา มีหน้าปัดย่อยแสดงวินาทีอยู่ที่บริเวณ 6 นาฬิกาพร้อมกับเข็มทรง Leaf Hand ตามหลักการของ Bauhaus ที่ว่า "Form Follows Function" หรือการออกแบบตามประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก และความสวยงามลงตัวจะถูกสื่อออกมา ผ่านตามการใช้งานได้จริงที่ดีเอง โดยลักษณะการดีไซน์ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นรากฐานในการออกแบบของ Portugieser มาจนถึงปัจจุบัน

Chapter 2 ยุคใหม่ของนาฬิกาสปอร์ต กับ Ingenieur และ Aquatimer

ต่อมาในปี ค.ศ. 1955 Ernst Jakob Homberger ก็ได้เสียชีวิตลง และ Hans Ernst Homberger ลูกชายของเขาก็รับช่วงต่อเข้ามาบริหารที่ IWC และได้เปิดตัวคอลเลกชัน Ingenieur นาฬิกาที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกระบบไขลานอัตโนมัติ

ถัดมาในปี ค.ศ. 1976 ทางแบรนด์ IWC ก็กลับมาพร้อม Ingenieur โฉมใหม่ที่มีชื่อว่า Ingenieur SL, Ref. 1832 มีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด โดยได้ดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่าง Gerald Genta เข้ามาออกแบบให้ จึงออกมาเป็นนาฬิกาที่มีความสปอร์ต หน้าปัดสีดำทรงกลมและมีสกรู 5 ตัวบนขอบหน้าปัด จับคู่มากับสายเหล็กข้อต่อแบบใหม่ที่เข้ากับตัวเรือนได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น กลไกของนาฬิกายังสามารถป้องกันสนามแม่เหล็กได้สูงสุดถึง 80,000 A/m และสามารถกันแรงกระแทกได้ดีอีกด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมการออกแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ IWC ในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

นอกจากนี้แล้ว ในยุค 60s กระแสของนาฬิกาดำน้ำกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทาง IWC จึงได้เข้าร่วมกับกระแสนี้ด้วยการเปิดตัว Aquatimer นาฬิกาดำน้ำเรือนแรกของแบรนด์ ในปี ค.ศ. 1967 โดยนาฬิกาสามารถกันน้ำลึกได้ถึง 200 เมตร โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดหมุนได้ที่อยู่ภายใต้กระจก เพื่อป้องกันการหมุนโดยไม่ตั้งใจในขณะดำน้ำ ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ IWC และได้กลายเป็นต้นแบบของคอลเลกชัน Aquatimer นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Chapter 3 - Quartz Crisis วิกฤตินาฬิกาใส่ถ่าน

ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1970 - 1980 ได้เกิดวิกฤตการณ์ในวงการนาฬิกาที่เรียกกันว่า Quartz Crisis หรือ วิกฤตินาฬิกาใส่ถ่าน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนาฬิกาเป็นอย่างมาก เมื่อแบรนด์นาฬิกาญี่ปุ่นออกมาประกาศตัวเป็นผู้ผลิตรายแรกที่สามารถนำระบบ Quartz มาใช้ได้สำเร็จ ทำให้สามารถผลิตนาฬิกาข้อมือที่มีความเที่ยงตรง เบาและบางลง แถมยังราคาถูก จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทำเอายอดส่งออกนาฬิกาสวิสฯ ลดลงจนเข้าขั้นวิกฤติ

และแน่นอนว่า IWC ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ จนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ. 1978 แบรนด์ IWC ก็ถูกซื้อโดย VDO Adolf Schindling AG บริษัทผลิตเกจน์วัดต่าง ๆ สำหรับรถยนต์ และได้ให้ Günter Blümlein บุคคลในตำนานของโลกแห่งการบอกเวลาที่สามารถนำพาแบรนด์สวิสหลายแบรนด์ให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหาร IWC

โดยเขาเน้นไปที่การพัฒนากลไกที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นและการเลือกใช้วัสดุใหม่ ๆ มาทำตัวเรือน เช่น การเปิดตัวนาฬิกาโครโนกราฟที่สร้างสรรค์ตัวเรือนจากวัสดุไทเทเนียมเป็นเรือนแรกของโลก หรือ การใช้วัสดุ Ceramic Zirconium Oxide มาทำตัวเรือนนาฬิกา ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของแบรนด์ IWC เลยก็ว่าได้

ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 ทาง IWC ได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือสไตล์นาฬิกาพกพา ที่มีชื่อว่า Portofino เรือนแรก Reference 5251 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาพก มาพร้อมฟังก์ชันข้างขึ้นข้างแรม (Moon phase) ประดับหลักชั่วโมงที่เป็นตัวเลขโรมัน มีการออกแบบเรียบง่ายและสวยงาม ทำให้นาฬิกา Portofino อยู่เหนือกาลเวลาและได้กลายเป็นหนึ่งในคอลเลกชันของ IWC อย่างถาวร

ต่อมาในปี ค.ศ. 1985 ภายใต้โปรเจกต์ลับที่ชื่อว่า “Operation Eternity” ทาง IWC ก็ได้เปิดตัวนาฬิกา Da Vinci Reference IW3750 ถูกออกแบบโดย Kurt Klaus นักประดิษฐ์กลไกผู้เชี่ยวชาญของ IWC โดยนาฬิกาเรือนนี้มาพร้อมฟังก์ชันปฏิทินถาวร (Perpetual Calendar) เรือนแรกของแบรนด์ ที่สามารถบอก วัน วันที่ เดือน และปี จนถึงปี ค.ศ. 2499 ได้อย่างถูกต้อง

มีการออกแบบอย่างเรียบง่าย พร้อมหลักชั่วโมงที่เป็นตัวเลขอารบิกขนาดใหญ่ และรูปทรงของเข็มที่มีความเพรียวบางอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เสมอมา ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้เองที่ได้กลายจุดเริ่มต้นที่สำคัญและเป็นต้นแบบของคอลเลกชัน Da Vinci นับตั้งแต่นั้นมา

ถัดมาในยุค 90s แบรนด์ IWC ก็ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการผลิตที่ซับซ้อนด้วยการเปิดตัวนาฬิการะดับ Grande Complication และในปี ค.ศ. 1993 ก็ได้สร้างนาฬิกาข้อมือที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น กับรุ่น IWC Il Destriero Scafusia เป็นภาษาละตินแปลว่า “The Warhorse from Schaffhausen”

จัดเต็มด้วยฟังก์ชันอย่าง Rattrapante Chronograph (จับเวลา), Flying Tourbillon (เพิ่มความแม่นยำ), Perpetual Calendar (ปฏิทินถาวร), Four-digit year display (บอกปีแบบเต็มตัว), Moon Phase (ข้างขึ้นข้างแรม) และ Minute Repeater (บอกเวลาด้วยเสียง) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ IWC กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านวัสดุและกลไกอันสลับซับซ้อน

Chapter 4 - Collection IWC ในปัจจุบัน

หลังจากที่ Günter Blümlein ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในช่วงปี 2000 ทางแบรนด์ IWC Schaffhausen ก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Richemont และได้ขยายการผลิตนาฬิกาทั้ง 6 คอลเลกชันอย่างต่อเนื่อง

Pilot’s Watches Collection

คอลเลกชัน Pilot’s Watches นาฬิกาสำหรับนักบิน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุดของ IWC โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ซีรีส์ย่อย

Classic Pilot’s Watches ยังคงการดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิกานักบินในยุค 1930s - 1940s และ Big Pilot’s Watch ไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคลาสสิก, ฟังก์ชันโครโนกราฟ ไปจนถึงฟังก์ชันปฏิทินถาวร (Perpetual Calendar)

ถัดมากับซีรีส์ TOP GUN ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2007 โดยชื่อ TOP GUN มาจากชื่อของสถาบันการบินของสหรัฐฯ ที่ฝึกฝนนักบินให้มีทักษะและยุทธวิธีอันยอดเยี่ยม ซึ่งทาง IWC ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในการผลิตนาฬิกาให้กับกองทัพสหรัฐ โดยจุดเด่นของคอลเลกชันนี้ก็คือการใช้สีกับการดีไซน์ที่บึกบึนให้เข้ากับวัสดุที่มีคุณภาพสูง (Performance Materials) เช่น วัสดุเซรามิก และ Ceratanium® ที่เน้นความทนทานเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในสภาพแวดล้อมของเครื่องบินเจ็ตนั่นเอง

ปิดท้ายนาฬิกาจากกลุ่ม Pilot’s Watches กับ Antoine de Saint-Exupéry นาฬิการุ่นพิเศษโดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินเข้มเพื่อระลึกถึง Antoine de Saint-Exupéry ชาวฝรั่งเศส ที่หลายคนรู้จักในฐานะนักเขียนนวนิยายชื่อดัง Le Petit หรือ เจ้าชายน้อย แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักบินที่มากประสบการณ์ในกองทัพฝรั่งเศสอีกด้วย ส่วนนาฬิการุ่นที่ซับซ้อนที่สุดจะเป็น Tourbillon Perpetual Calendar ที่มาพร้อมกับ Rotor Weight เป็นรูปเจ้าชายน้อยที่ยืนอยู่บนดวงดาวของเขา

Collection Portugieser

คอลเลกชัน Portugieser ในปัจจุบัน ยังคงการดีไซน์ของรุ่นดั้งเดิมที่เฉียบคมและอยู่เหนือกาลเวลาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฟอนต์ตัวเลขอารบิก, เข็มทรง leaf และบางเรือนก็ได้มีการเพิ่มหลักนาทีรอบตัวเรือนที่เป็นสไตล์รางรถไฟ (Railway Track Style) ที่เป็นเหมือนลักษณะของนาฬิกาพก (Pocket Watch) ในยุค 30s ส่วนขนาดหน้าปัดก็มีให้เลือกอย่างหลากหลายตั้งแต่ 40 - 45 มิลลิเมตร ซึ่งคอลเลกชันนี้จะมีตั้งแต่รุ่นคลาสสิกธรรมดา, ฟังก์ชันโครโนกราฟ, ปฏิทินถาวร (Perpetual Calendar), Tourbillon ไปจนถึงรุ่น Grande Complication ที่มีความสลับซับซ้อนสูง ซึ่งภาพรวมของคอลเลกชันนี้จะมีหน้าตาที่คลาสสิก ดูเรียบหรู ทำให้สามารถครองใจแฟน ๆ ได้เสมอมา

Collection Portofino

ในปัจจุบัน Portofino ก็ยังคงเป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของ IWC โดยยังคงการออกแบบที่เรียบงายตามฉบับ Dress Watch มาพร้อมตัวเรือนทรงกลมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาพก (Pocket Watch) บนหน้าปัดประดับหลักชั่วโมงตัวเลขโรมัน พร้อมเข็มทรง Leaf Hand ที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายเข้ากับความสง่างามได้อย่างลงตัว ซึ่งคอลเลกชันนี้เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 34 มิลลิเมตร จนถึง 45 มิลลิเมตร รวมไปถึงมีฟังก์ชันให้เลือกอย่างหลากหลาย โดยในปี 2023 นี้ ทาง IWC ก็ได้เพิ่มฟังก์ชันที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น อย่างรุ่น Perpetual Calendar เข้ามาไว้ในคอลเลกชันนี้อีกด้วย

Collection Da Vinci

คอลเลกชัน Da Vinci ได้กลับมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 2017 ซึ่งทาง IWC จะเน้นไปที่นาฬิกาสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีการออกแบบที่เรียบง่ายและเพรียวบาง โดยสำหรับผู้หญิงนาฬิกาจะมีขนาดอยู่ที่ 36 มิลลิเมตร มีให้เลือกหลากหลายแบบ เช่น ขอบหน้าปัดล้อมเพชร หรือ ฟังก์ชัน Moon phase ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 190,000 บาท นอกจากนี้ก็ยังมีเรือนพิเศษที่ด้านหลังตัวเรือนโปรงใสโชว์ให้เห็นความซับซ้อนของกลไกได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ Tourbillon Rétrograde Chronograph ที่เป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่สามารถผสานสุดยอด 3 ฟังก์ชันเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว

Collection Aquatimer

คอลเลกชัน Aquatimer ถูกออกแบบมาเพื่อนักดำน้ำมืออาชีพ จึงเหมาะสำหรับการผจญภัยหรือกิจกรรมทางน้ำ โดยปัจจุบันคอลเลกชันนี้มีรูปลักษณ์ที่สปอร์ต ดูสมบุกสมบัน มาพร้อมระบบ Quick-change ที่สามารถสลับเปลี่ยนสายเหล็กและสายยางได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีขอบหน้าปัดแบบพิเศษ หากหมุนขอบหน้าปัดภายนอก ขอบหน้าปัดภายในก็จะหมุนตาม โดยนาฬิกาคอลเลกชันนี้มีตั้งแต่รุ่นคลาสิกที่มีเพียงฟังก์ชันบอกเวลาไปจนถึงฟังก์ชันจับเวลาโครโนกราฟ ส่วนขนาดตัวเรือนจะมีให้เลือกตั้งแต่ 42 ไปจนถึง 45 มิลลิเมตร

Collection Ingenieur

ปิดท้ายด้วยคอลเลกชัน Ingenieur โดยในปี 2023 นี้ ทาง IWC ได้ปรับปรุงคอลเลกชันใหม่ทั้งหมด ซึ่งโดดเด่นด้วยการดีไซน์ที่ผสมผสานระหว่างความสง่างามและความสปอร์ตเข้าด้วยกัน โดยจะยึดการดีไซน์จาก Gérald Genta ที่ได้ออกแบบไว้ในยุค 70s ที่ขอบหน้าปัดจะมีนอตทรงเหลี่ยม 5 ตัวอันเป็นเอกลักษณ์ จับคู่มากับสายนาฬิกา Integrated H-link Bracelet มาพร้อมตัวเรือนขนาด 40 มิลลิเมตร และมีหน้าปัดหลากหลายสีให้เลือก ได้แก่ สีขาว สีดำ สีเทา และสีเขียว โดยรวมแล้วนั้นจะให้รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและใช้งานได้หลากหลายตอบโจทย์ความเป็นนาฬิกาสปอร์ตในยุคศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี

Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek Philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier,

Recommended Posts