Auction House Logo

เปิดประวัติกว่า 60 ปีของนาฬิกา DiaStar สุดยอด Iconic ดีไซน์จากแบรนด์ RADO | Auction House

เปิดประวัติกว่า 60 ปีของนาฬิกา DiaStar สุดยอด Iconic ดีไซน์จากแบรนด์ RADO | Auction House

เปิดประวัติกว่า 60 ปีของนาฬิกา DiaStar สุดยอด Iconic ดีไซน์จากแบรนด์ RADO | Auction House

ดูวิดีโอ เปิดประวัติกว่า 60 ปีของนาฬิกา DiaStar จาก RADO | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

Rado แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีชื่อเสียงในด้านนวัตกรรม และเป็นผู้นำในการพัฒนาวัสดุที่ล้ำสมัย จนได้ชื่อว่าเป็น “Master of Materials” หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ ซึ่งหากพูดถึงรุ่นที่เป็นไอคอนิกของแบรนด์ หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงนาฬิกา DiaStar อย่างแน่นอน โดย Auction House จะพาทุกคนมาเปิดประวัติของนาฬิกา DiaStar กว่า 60 ปี ว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง

Chapter 1 - จุดกำเนิดนาฬิกา DiaStar

ย้อนกลับไปในยุค 1960s นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทางแบรนด์ Rado ได้ให้ความสนใจและมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาวัสดุใหม่ ๆ เนื่องจากนาฬิกาหรูในยุคนั้นเกิดรอยได้ง่ายมาก โดยเฉพาะนาฬิกาที่ทำจากทองคำ ทางแบรนด์จึงเกิดไอเดียและตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วน

จนกระทั่งในปี 1962 ทางแบรนด์ได้เปิดตัว DiaStar 1 นาฬิกาที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เรือนแรกของโลก ได้ความสำเร็จ สร้างสรรค์ขึ้นจากวัสดุชนิดใหม่ทังสเตนคาร์ไบด์ (Tungsten carbide) หรือที่แบรนด์เรียกว่า “Hardmetal” ซึ่งเป็นโลหะสังเคราะห์ที่มีความแข็งทนทานเป็นพิเศษ

ผสานเข้ากับการใช้วัสดุกระจกหน้าปัดแบบ "Sapphire Crystal" ซึ่งเป็นวัดุที่มีความแข็งรองลงมาจากเพชร และ RADO เป็นแบรนด์แรกที่ได้นำ Sapphire Crystal มาใช้บนหน้าปัด จึงถือกำเนิดเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้

เป็นที่มาของชื่อ "DiaStar" เพราะเป็นนาฬิกาที่แข็งแกร่งราวกับเพชรและเปล่งประกายราวกับดวงดาว และนี่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของทางแบรนด์ Rado นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Chapter 2 - The Gold DiaStar

เข้าสู่ยุค 1970s ทางแบรนด์ RADO ก็ยังคงคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง จนสามารถแก้ไขปัญหารอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นกับนาฬิกาที่ทำจากทองคำได้สำเร็จ โดยในปี 1972 ได้เปิดตัวนาฬิกา DiaStar 13 ซึ่งโดดเด่นด้วยตัวเรือนสีทองอันแวววาว ที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี และยังไม่สูญเสียความแวววาวของตัวเรือนแม้เวลาผ่านไป

นอกจากนี้ นาฬิกา DiaStar 13 ยังมาพร้อมการอัปเดตกลไกใหม่ โดยการเพิ่มฟังก์ชันให้สามารถแสดงทั้งวันและวันที่ได้ด้วย ทำให้ DiaStar 13 กลายเป็นนาฬิการุ่นยอดนิยมที่ขายดีที่สุดของแบรนด์จวบจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี 1974 ทางแบรนด์ก็ได้มีการอัปเดตนาฬิการุ่นใหม่ DiaStar 18 โดยเลือกใช้สีม่วงเข้ม (Aubergine Colour) บริเวณหน้าปัดและตัวเรือน ผสานเข้ากับสายที่เป็นแบบทูโทน (Two Tone) ซึ่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี

หลังจากนั้นแบรนด์ Rado ก็ได้มีการอัปเดต DiaStar ตัวเรือนสีทองอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งช่วงยุค 70s ที่กระแสนาฬิกา Quartz หรือ นาฬิกาใส่ถ่านกำลังเป็นที่นิยม ทาง Rado จึงได้เปิดตัวนาฬิกา Quartz เรือนแรกของแบรนด์ขึ้นในปี 1976 กับรุ่น DiaStar 84 ซึ่งเป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาที่แสดงเวลาแบบดิจิทัลผ่านจอ LED

ผ่านไปกว่า 10 ปี หลังจากที่กระแส Quartz เริ่มเบาลง ในทางกลับกัน กระแสของนาฬิกาจักรกล (Mechanical) ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง แบรนด์ Rado จึงกลับมาผลิตนาฬิกาจักรกลในปี 1990 ซึ่งมีชื่อรุ่นว่า The Original ที่มีการดีไซน์หน้าปัดใกล้เคียงกับรุ่น DiaStar 13 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา The Original ก็เป็นนาฬิการุ่นขายดีที่สุดของแบรนด์ และยังอยู่ในคอลเลกชันหลักมาจนถึงปัจจุบัน เพราะคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี

เข้าสู่ศตวรรษใหม่ของ DiaStar กับการเปิดตัวนาฬิการุ่น Royal Dream ในปี 2000 อันโดดเด่นด้วยสไตล์ Maximalist หรือที่ผู้คนมักจะพูดว่า เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ชอบ ต้องจัดเต็มไว้ก่อน โดยตัวเรือนของนาฬิกายังคงเป็นสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ ประดับด้วย Sapphire crystals ซึ่งเป็นอัญมณีสังเคราะห์ที่มีความแข็ง ประดับอยู่บนหน้าปัดของนาฬิกา ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับนาฬิกาให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น

Chapter 3 - Modern DiaStar

เข้าสูู่ศตวรรษที่ 20 แบรนด์ Rado ก็ยังพัฒนารุ่น DiaStar อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2005 นาฬิการุ่น New Original ก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยการดีไซน์ตัวเรือนทรงเหลี่ยมมนให้มีความกลมกว่าเดิม โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีแดงสดใส และหลักชั่วโมงที่เป็นตัวเลขอารบิก พร้อมทั้งจัดวางหน้าต่างวันที่อยู่ในตำแหน่งใหม่ ตรงบริเวณ 4 นาฬิกา

หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัว Chronograph Rattrapante นาฬิกาโครโนกราฟเรือนแรกของ DiaStar มาพร้อมความสลับซับซ้อนของฟังก์ชัน Rattrapante ที่สามารถจับเวลาแยกทั้งสองรายการไปพร้อม ๆ กันได้

และในปี 2022 ที่ผ่านมาก็เป็นปีที่สำคัญสำหรับคอลเลกชัน DiaStar เพราะเป็นการครบรอบ 60 ปี โดยทาง Rado ได้อัปเกรดคอลเลกชัน DiaStar ด้วยการเพิ่มนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเข้าไป พร้อมทั้งยังคง DNA ของ DiaStar ไว้ได้เป็นอย่างดี โดยการเปิดตัวนาฬิกาทั้งหมด 4 รุ่น แบ่งออกเป็น DiaStar Original 3 รุ่น โดยมีหน้าปัดให้เลือกถึง 3 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน สีเทาเข้ม และสีเขียว

และมีรุ่นพิเศษ DiaStar Original 60-Year-Anniversary Edition ที่ได้มีการร่วมมือกับ "Alfredo Haberli" นักออกแบบชื่อดังชาวสวิส โดยเขาสามารถผสานประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ให้เข้ากับนวัตกรรมอันทันสมัยได้อย่างลงตัว จึงออกมาเป็นผลงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น แก้วน้ำ, เฟอร์นิเจอร์ หรือ รถยนต์

และรวมถึงนาฬิการุ่นใหม่นี้ ที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดทรงวงรี มาพร้อมวัสดุที่ล้ำสมัย นั่นก็คือ Ceramos™ ที่ผสมผสานระหว่างไฮเทคเซรามิก 90% และโลหะ 10% เพื่อให้เกิดความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เพราะ Ceramos™ มีความแข็งมากกว่า Stainless steel เป็นเท่าตัว และมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี มีน้ำหนักเบา และมีความเงางามดูหรูหรามากยิ่งขึ้น

โดยพิเศษสำหรับ DiaStar Original 60-Year-Anniversary Edition จะมาในธีมสีเทาแบบ Monochromatic พร้อมตัวเรือน Ceramos™ และมีการขัดแต่งแบบด้าน บนขอบตัวเรือน ส่วนหน้าปัดได้มีการออกแบบให้เรียบง่ายมากขึ้น ด้วยการปรับการแสดงวันแบบกราฟิก โดยใช้สีเพื่อบอกวันแทน

อีกทั้งยังมีการใช้กระจกแซฟไฟร์แบบพิเศษ ที่ถูกดีไซน์ให้เป็น 6 เหลี่ยม (Hexagon faceted) เพื่อสื่อถึงการครบรอบ 60 ปีของ DiaStar นอกจากนี้ยังมาพร้อมสายนาฬิกาเป็นสเตนเลสถัก และสายผ้าสีเทา โดยทั้งหมดนี้มาพร้อมกลไกล่าสุด Calibre R764 เป็นกลไก Automatic ที่สามารถกันสนามแม่เหล็ก และสำรองพลังงานได้นาน 80 ชั่วโมง

DiaStar Original Skeleton รุ่นใหม่ล่าสุด ปี 2023

ล่าสุดในปี 2023 นี้ ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัว DiaStar Original Skeleton นาฬิการุ่นใหม่ ที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดในรูปแบบ Skeleton (สเกเลตัน) โดยนาฬิการุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับขอบตัวเรือน Ceramos มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Ceramos สีเงินที่ได้รับการสร้างสรรค์และเก็บงานอย่างเงางาม ส่วนสีทองจะเป็นวัสดุ Ceramos เคลือบผิวแบบ PVD (Gold-coloured PVD coating)

โดยจุดเด่นจะอยู่ที่หน้าปัดเผยให้เห็นการทำงานของกลไกที่ถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม มีการเคลือบสีเทาบนสะพานจักร (Bridge) พร้อมปัดลายแบบซาตินในแนวนอน ส่วนฟันเฟืองชิ้นส่วนต่าง ๆ จะเป็นสีเงินหรือสีทองตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมทั้งมีการประดับหลักชั่วโมงขนาดใหญ่สีทอง และติดตั้งชุดเข็มชั่วโมง-นาทีสีทองเช่นกัน ทั้งหมดนี้เคลือบด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova® (ซูเปอร์ลูมิโนวา) สีขาว เพื่อให้อ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจนในที่มืด

นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์ชื่อแบรนด์ไว้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และพิมพ์ชื่อคอลเลกชัน DIASTAR ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา อีกทั้งยังย้ายโลโก้สมอเรือมาไว้ตรงตำแหน่ง 9 นาฬิกา ซึ่งแปลกใหม่และแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่ปกติแล้วจะอยู่บริเวณ 12 นาฬิกา ทั้งหมดนี้คลุมด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงเหลี่ยมที่ถูกเจียระไนเป็นอย่างดี พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน มีขนาดตัวเรือนอยู่ที่ 38 มิลลิเมตร หนา 11.9 มิลลิเมตร

จับคู่มากับสายวัสดุสเตนเลสขัดเงาตามสีของตัวเรือน พร้อมระบบ EasyClip ที่สามารถเปลี่ยนสายได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ส่วนฝาหลังเป็นแบบโปร่งใสคลุมด้วยกระจกแซฟไฟร์เผยให้เห็นการทำงานของกลไก Automatic Calibre R808 เดินด้วยความถี่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง พร้อมการสำรองพลังงานนานถึง 80 ชั่วโมง และความสามารถในการกันน้ำลึก 100 เมตร

อีกทั้งยังสามารถต้านทานสนามแม่เหล็กได้ด้วย NivachronTM Hairspring ที่มีความแม่นยำเกินกว่าข้อกำหนดในการทดสอบแบบมาตรฐาน 3 ถึง 5 ตำแหน่ง รับประกันนาน 5 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Add Line Official account @radothailand
RADO Offical Website

Recommended Posts