History of RADO - ประวัติความเป็นมาของแบรนด์นาฬิการาโด
ดูวิดีโอ ประวัติแบรนด์นาฬิกา RADO | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
Rado (ราโด้) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีชื่อเสียงในด้านนวัตกรรม และเป็นผู้นำในการพัฒนาวัสดุ จนสามารถผลิตนาฬิกาที่ป้องกันรอยขีดข่วนรุ่นแรกของโลกได้สำเร็จ อีกทั้งยังสร้างสรรค์ตัวเรือนที่ผลิตจากไฮเทคเซรามิกแบบชิ้นเดียวผสานเข้ากับสายนาฬิกาได้เป็นแบรนด์แรกอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของแบรนด์ที่กล่าวไว้ว่า “ถ้าเราสามารถจินตนาการได้ เราก็สามารถทำได้” และ Rado ก็เปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นความจริงที่เป็นรูปธรรมได้อย่างสมบูรณ์ตลอดมา จนได้ชื่อว่าเป็น“Master of Materials” หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ นั่นเอง
Prologue - จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Rado
เรื่องราวของแบรนด์ Rado ได้เริ่มต้นขึ้นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1917 ณ เมืองเลงเนา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อสามพี่น้อง Fritz, Ernst และ Werner Schlup ได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Schlup & Co. ขึ้นมาเพื่อผลิตกลไกนาฬิกา และถึงแม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมของสงคราม แต่ก็ยังฝ่าฟันและยืนหยัดมาได้จนหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 บริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกลไกนาฬิการายใหญ่ที่สุดโลก
จากนั้นทั้งสามพี่น้องจึงตัดสินใจเปิดตัวแบรนด์นาฬิกาของตัวเองขึ้นมาภายใต้ชื่อ Rado ซึ่งมีความหมายว่า 'วงล้อ' ในภาษาเอสเปรันโต (ฝรั่งเศส) และอยู่ภายใต้สัญลักษณ์การันตีความเป็นสุดยอดนาฬิกาด้วยอักษร "SWISS MADE” ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Rado นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Chapter 1 - กำเนิดนาฬิกาข้อมือ Rado
Golden Horse นาฬิกาคอลเลกชันแรกของแบรนด์
หลังจากที่ดำเนินกิจการด้วยชื่อ Rado มาแล้วนั้น ถัดมาในปี 1957 ทางแบรนด์ก็ได้ให้กำเนิดนาฬิกาคอลเลกชันแรกของแบรนด์ที่ชื่อว่า Rado Golden Horse ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญาที่กล่าวว่า "ถ้าเราสามารถจินตนาการสิ่งใดขึ้นมาได้ เราก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นได้ ถ้าเราสร้างสรรค์สิ่งใดได้ เราก็จะทำสิ่งนั้น"
โดยคอลเลกชัน Rado Golden Horse นี้ มีจุดเด่นที่สำคัญและได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ Rado มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ สมอแบบหมุนได้ที่มีไว้สำหรับระบุช่วงเวลาที่จะต้องนำนาฬิกาไปเข้ารับบริการ หมายความว่า ถ้าสมอหยุดหมุนก็แสดงว่าตัวเครื่องของนาฬิกาจำเป็นที่จะต้องนำไปเข้ารับบริการที่ศูนย์ ซึ่งสมอเรือนี้เองที่ได้กลายเป็นโลโก้ของแบรนด์ Rado นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
DiaStar 1 - นาฬิกาที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนเรือนแรกของโลก
ต่อมาในปี 1962 แบรนด์ Rado ก็ได้เซอร์ไพรส์ให้กับวงการนาฬิกา เพราะพวกเขาได้เปิดตัว Rado DiaStar 1 นาฬิกาที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นเรือนแรกของโลก โดยตัวเรือนสร้างขึ้นจากวัสดุทังสเตนคาร์ไบด์ (Tungsten carbide) หรือที่แบรนด์เรียกว่า “Hardmetal”
เป็นโลหะสังเคราะห์ที่มีความแข็งทนทานเป็นพิเศษ และ Rado ยังเป็นแบรนด์แรกที่เริ่มใช้กระจกหน้าปัดแบบ Sapphire Crystal ก่อนที่จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับนาฬิกาหรูในปัจจุบัน ถือเป็นความสำเร็จทางด้านนวัตกรรมที่ล้ำหน้าและนำไปสู่ DNA ของแบรนด์ Rado ได้ในที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นนาฬิการุ่นนี้ก็ยังโดดเด่นด้วยการดีไซน์ที่มีความล้ำสมัย แตกต่างจากนาฬิกาทรงกลมในยุคนั้น เพราะขอบหน้าปัดด้านนอกของ Rado DiaStar 1 มีความกว้าง พร้อมรูปทรงที่แปลกตา และมีการปกปิดส่วนยึดสายรัดข้อมือ ทำให้ดูโดดเด่น มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
Caption Cook - นาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของแบรนด์
และในปีเดียวกันนั้น ทางแบรนด์ก็ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว Captain Cook นาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของแบรนด์ โดยได้ตั้งชื่อนี้เพื่อเป็นเกียรติให้กับ James Cook ผู้เป็นกัปตันเรือและหนึ่งในนักสำรวจชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และนาฬิกาที่ผลิตภายใต้คอลเลกชัน Captain Cook
ก็กลายเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยดีไซน์ขอบหน้าปัดหมุนได้ทิศทางเดียวตามแบบฉบับนาฬิกาดำน้ำ พร้อมเข็มบอกชั่วโมงขนาดใหญ่ที่เป็นทรงลูกศร และหลักชั่วโมงทรงสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เคลือบสารเรืองแสงไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการดีไซน์ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของคอลเลกชันนี้ไปโดยปริยาย
Chapter 2 - Master of Materials ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ
และในช่วง 1970s แบรนด์ Rado ได้มีการทดลองออกแบบตัวเรือน รวมถึงทดลองใช้วัสดุใหม่ ๆ ด้วย จนออกมาเป็นนาฬิกาสองรุ่น นั่นก็คือ Elegance และ Glissière ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบและถูกนำไปต่อยอดในนาฬิการุ่นอื่น ๆ ของแบรนด์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม Rado ก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีชื่อเสียงในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุที่ผสานเข้ากับรูปลักษณ์ของนาฬิกาอันหรูหรา โดยในปี 1984 ทางแบรนด์ได้ให้กำเนิดนาฬิกา Rado Anatom ที่ได้โปรโมตไว้ว่า "mould itself to the wrist for optimal wearer-comfort." หรือ นาฬิกาที่ถูกหลอมรวมให้พอดีรับกับข้อมือเพื่อให้สวมใส่ได้อย่างสบาย โดยตัวเรือนผลิตจากแซฟไฟร์เป็นทรงสี่เหลี่ยมหลอมรวมเข้ากับสายนาฬิกาเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างลงตัว
ซึ่งการออกแบบนาฬิกาเช่นนี้ได้ผลตอบรับที่ดีมากและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง Andy Warhol ศิลปินป็อปอาร์ต ได้สร้างภาพวาดขนาด 1 x 1 เมตร เพื่อเป็นเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวในครั้งนี้ และผลงานชิ้นนี้ก็เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่เขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมา
ปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกาด้วยไฮเทคเซรามิก
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 แบรนด์ Rado ก็ได้มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นในฐานะ Master of Materials หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ ต่อมาในปี 1986 เป็นปีที่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกาโดยมีการใช้ไฮเทคเซรามิกที่มีความทนทานและกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถสร้างสรรค์ Rado Integral
นาฬิกาที่มีสายนาฬิกาและตัวเรือนที่ทำจากวัสดุไฮเทคทั้งหมดได้อย่างโดดเด่น หลังจากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับแบรนด์ เพราะ Rado ได้เข้าร่วมกับ SMH (Société de Microélectronique et d'Horlogerie SA) ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Swatch Group ในปี 1998 ที่ช่วยผลักดันให้แบรนด์สามารถก้าวไปสู่นวัตกรรมที่ล้ำสมัยต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
Chapter 3 - ยุคใหม่ภายใต้การบริหารของ Swatch Group
หลังจากที่แบรนด์ Rado ได้เข้าร่วม Swatch Group แล้วนั้น ก็เข้าสู่ยุคใหม่ของ Rado ที่มีการพัฒนานาฬิกาและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2002 ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัว Rado V10K ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ทำจากวัสดุที่ทางแบรนด์เรียกว่า High-tech diamond โดยมีความเงางาม ดูหรูหรา และเป็น Nanotechnology ที่ล้ำสมัย ทำให้มีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 10,000 Vickers จนได้รับการบันทึกสถิติโลก Guinness World Records ในฐานะนาฬิกาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
นอกจากนี้แล้ว แบรนด์ Rado ยังประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ True Thinline โดยมีนวัตกรรมอันโดนเด่น ซึ่งก็คือตัวเรือนของนาฬิกาที่ทำจากเซรามิกโดยการหล่อขึ้นในรูปแบบชิ้นเดียว หรือที่เรียกว่า Monobloc Case ทำให้มีน้ำหนักเบาและมีความหนาเพียง 4.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้ภาพรวมของนาฬิกาดูดีในแบบที่ไม่ซ้ำใคร
ต่อมาในปี 2011 ทางแบรนด์ได้จดสิทธิบัตรใหม่ Ceramos™ ซึ่งเป็นวัสดุโลหะไฮเทคที่มีความเงางามและมีความแข็งของเซรามิก โดยวัสดุชนิดนี้เป็นการผสมผสานที่ลงตัวมากและได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Rado ที่ได้ร่วมมือกับนักออกแบบระดับโลก เช่น นาฬิการุ่น R5.5 ที่ออกแบบโดย Jasper Morrison นักออกแบบผลิตภัณฑ์ชาวอังกฤษ โดยหากมองภาพรวมแล้วนั้น จะมีความมินิมอล เรียบง่าย และดูทันสมัย ซึ่งนวัตกรรมทั้งสองนี้ที่เป็นการหล่อตัวเรือนขึ้นชิ้นเดียว Monobloc Case และการคิดค้นวัสดุใหม่ Ceramos™ ล้วนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Rado สามารถต่อยอดการดีไซน์ใหม่ ๆ ได้ในปัจจุบัน
Chapter 4 - Rado ในยุคปัจจุบัน
ในปัจจุบัน Rado ได้กลายเป็นแบรนด์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบอันล้ำสมัยผสานเข้ากับการใช้วัสดุที่แปลกใหม่ได้อย่างลงตัว โดยทางแบรนด์ได้มีการพัฒนาเซรามิกสีสันใหม่รวมถึงมีการออกแบบตัวเรือนที่แปลกใหม่ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคน Generations ใหม่ได้เป็นอย่างดี เพื่อตอกย้ำจุดยืนของความเป็น Master of Materials ได้เป็นอย่างดี
คอลเลกชัน Caption Cook
คอลเลกชัน Captain Cook ในปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชันเรือธงของแบรนด์ Rado ซึ่งได้ถูกนำกลับมาผลิตอีกครั้งเมื่อปี 2017 โดยยังคงเอกลักษณ์การออกแบบของรุ่นดั้งเดิมไว้เกือบทั้งหมด และได้ถูกพัฒนาต่อยอดมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งในปี 2021 ทางแบรนด์ได้ออกรุ่น Captain Cook High - Tech Ceramic ที่ผสานนวัตกรรมต่าง ๆ ของแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวเรือนแบบชิ้นเดียวและผสานเข้ากับตัวเรือนไฮเทคเซรามิก ทำให้นาฬิกาสามารถป้องกันรอยขีดข่วนและอาการแพ้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมาพร้อมสายนาฬิกาที่ใช้วัสดุไฮเทคเซรามิกที่สามารถปรับอุณหภูมิตามผิวของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ไม่รู้สึกร้อนหรือเย็นเวลาสวมใส่นาฬิกา
คอลเลกชัน True Thinline
ในปัจจุบันคอลเลกชัน True Thinline ยังคงเป็นคอลเลกชันที่บางที่สุดของ Rado โดยการผลิตตัวเรือนแบบชิ้นเดียวด้วยวัสดุไฮเทคเซรามิกผสานเข้ากับกลไกควอตซ์ ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ได้เปิดตัวนาฬิกา Rado True Thinline Les Couleurs™ Le Corbusier ที่มีการการออกแบบล้ำสมัยและมีความสดใสมากยิ่งขึ้น ตามทฤษฎีการใช้สีของ Le Corbusier สถาปนิกในตำนาน ที่ได้ฉายาว่า Father of Modernism หรือ บิดาแห่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
โดยนาฬิกาจะมาพร้อมหน้าปัดทรงกลมคลาสสิก เรียบง่าย ติดตั้งเข็มบอกเวลาและหลักชั่วโมงแบบขีดที่มีความมินิมอล โดดเด่นด้วยสีสันของตัวเรือนที่สดใสและคุมโทนเป็นสีนั้นทั้งเรือน ซึ่งการสร้างไฮเทคเซรามิกให้มีสีสันนั้นจะต้องใช้เทคนิคการผลิตขั้นสูงและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เพื่อให้ตัวเรือนมีสีที่สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของ Le Corbusier
คอลเลกชัน DiaStar Original
คอลเลกชัน DiaStar Original ในปัจจุบัน ได้มีการผสมผสานระหว่างความหนักแน่นและความมีเสน่ห์ของ DiaStar รุ่นแรกเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยยังคงเอกลักษณ์การดีไซน์สุดไอคอนิกของ DiaStar 1 ไม่ว่าจะเป็นขอบหน้าปัดหนา และรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงวัสดุที่ทนรอยขีดข่วนได้ดี
โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของคอลเลกชันนี้ก็คือ DiaStar 13 สีทอง ที่เปิดตัวในปี 1972 เพราะความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากตัวเรือนสีทองอันแวววาว ซึ่งแตกต่างจากนาฬิกาเคลือบทองทั่วไปตรงที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี ไม่สูญเสียความแวววาวและสีของตัวเรือนเมื่อเวลาผ่านไป
คอลเลกชัน True Square
คอลเลกชัน True Square ที่มีเอกลักษณ์ด้วยตัวเรือนทรงเหลี่ยม มาพร้อมวัสดุไฮเทคเซรามิกทั้งตัวเรือนรวมถึงสายนาฬิกาก็ใช้วัสดุเดียวกัน โครงสร้างตัวเรือนเป็นแบบชิ้นเดียว มีน้ำหนักเบา และทนต่อรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี
โดยรุ่นในปัจจุบันก็ยังคงเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างครบถ้วน แต่มีการเพิ่มความซับซ้อนเข้ามาด้วย อย่างเช่น True Square Automatic Open Heart ที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีดำแบบสเกเลตันที่เผยให้เห็นการทำงานของกลไกด้านหน้า มาพร้อมตัวเรือนไฮเทคเซรามิกอันเป็นเอกลักษณ์ของคอลเลกชันนี้ ซึ่งโดยรวมแล้วนั้นให้ลุคสปอร์ตเรียบหรูและดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น
คอลเลกชัน Rado Centrix
ปิดท้ายด้วยคอลเลกชันที่เป็นที่นิยมมากที่สุดกับ Rado Centrix อันโดดเด่นด้วยการดีไซน์คลาสสิก พร้อมทั้งสายนาฬิกาที่มีน้ำหนักเบา โดยคอลเลกชันนี้มีนาฬิกาที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ขนาด สีสันต่าง ๆ รวมไปถึงกลไกควอตซ์ และกลไกออโตเมติก ไปจนถึงราคาที่ต่างกัน จึงทำให้นาฬิกาในคอลเลกชันนี้เข้าถึงกลุ่มคนหมู่มากได้เป็นอย่างดีและเข้ากับคนทุกสไตล์
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร