ประวัติความเป็นมาของ Seiko | Auction House
ดูวิดีโอ ประวัติความเป็นมาของ Seiko | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
หากจะพูดถึงสินค้าระดับ Hi-End จากยุโรปอย่างรถยนต์ก็คงต้องเป็นรถหรูหรือซุปเปอร์คาร์ราคาหลายสิบล้าน แต่ถ้าเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานแบบสมบุกสมบันก็ต้องนึกถึงรถจากญี่ปุ่น นาฬิกาก็เช่นกัน นักสะสมเรือนเวลาหลายคนรวมถึงคนทั่วไปคงจะนึกถึงนาฬิกาแบรนด์สัญชาติสวิสเซอร์แลนด์ ในขณะเดียวกันก็น่าเสียดายที่หลายคนมองข้ามนาฬิกาคุณภาพดีจากฝั่งเอเชียอย่าง “Seiko” เพราะเมื่อไหร่ที่คนได้ยินชื่อนาฬิกาแบรนด์นี้ ก็มักจะคิดถึงเพียงแต่นาฬิการาคาถูก แต่ก็ใช่ว่า Seiko จะขายแต่นาฬิการาคาถูกซะที่ไหน นาฬิการะดับ Luxury Watch ราคาเป็นล้านแพงกว่านาฬิกาสวิสฯ ก็ทำขายมาแล้วอย่างนาฬิการุ่น “Eichi II” หรือรุ่น “Credor Tourbillon” ที่ราคาพุ่งสูงถึง 15 ล้านบาท ราคานี้มาจากความเก๋าของแบรนด์ Seiko ที่ยืนหยัดในแวดวงนาฬิกามากว่า 140 ปี ประกอบกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาในแบบเฉพาะตัวของแบรนด์ จนกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงนาฬิกาที่เน้นคุณค่า ความแม่นยำ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่โดดเด่น ทำให้แบรนด์เอเชียอย่าง Grand Seiko กลายเป็นที่รู้จักและดึงดูดความสนใจจากตลาดนาฬิกาโลกเทียบชั้นกับแบรนด์ยุโรป

ปฐมบทของนาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่น Seiko
ความเป็นมาของแบรนด์ Seiko
ย้อนกลับไปในสังคมญี่ปุ่นยุคเมจิ (ปี ค.ศ. 1868-1912) ในช่วงนั้นประเทศญี่ปุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในประเทศ หรือที่เรียกกันว่า Meji Restoration ที่รับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ จากฝั่งตะวันตกเข้ามาใช้แทนของเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้านาฬิกาจากฝั่งตะวันตกมาใช้บอกเวลาและกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Seiko ในปัจจุบัน เรื่องราวของแบรนด์นี้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1881 เมื่อคินทาโร่ ฮัตโตริ (Kintaro Hattori) ชายหนุ่มวัยเพียง 22 ปี ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท K.Hattori & Co. ขึ้นในกรุงโตเกียวเพื่อนำเข้านาฬิกาจากฝั่งตะวันตกมาขายในประเทศญี่ปุ่น กิจการนำเข้าเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง 9 ปีต่อมา เขาตัดสินใจผลิตนาฬิกาออกขายเอง โดยเริ่มต้นจากการตั้งโรงงานผลิตนาฬิกาใช้ในบ้านขึ้นที่กรุงโตเกียว ในชื่อ “Seikosha” ซึ่งคำว่า Seiko แปลว่า ความสำเร็จ, ความงดงาม ส่วนคำว่า Sha แปลว่า บริษัท, ธุรกิจ

อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟันของ Seiko
Seiko กับอุปสรรคมากมายที่ต้องฝ่าฟัน
หลังจากก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา Seikosha มากว่า 30 ปี บททดสอบความแข็งแกร่งของแบรนด์ก็โถมเข้าใส่ Seikosha อย่างต่อเนื่อง โดยบททดสอบแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1923 เมื่อประเทศญี่ปุ่นเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ภัยธรรมชาติครั้งนี้ส่งผลให้โรงงานและสำนักงานของ Seikosha พังราบ ก่อนจะตั้งโรงงานแห่งที่สองและใช้ชื่อว่า “Daini Seiko” จากนั้นไม่นาน ฝันร้ายก็ตามมาหลอกหลอน Seiko อีกครั้ง เมื่อสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ได้ปะทุขึ้นและบานปลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ท้ายที่สุด Seiko ก็ถูกปิดลง ตัวโรงงานถูกนำมาใช้เป็นโรงงานผลิตกระสุนและอาวุธเพื่อใช้ต่อสู้ในสงครามแทน

จุดกำเนิด Grand Seiko และ King Seiko
จุดเริ่มต้นของการเป็น Grand Seiko และ King Seiko
หลังจากที่บริษัท Seiko เผชิญมรสุมทั้งภัยพิบัติธรรมชาติและสงคราม ก็ถึงเวลาที่ Seiko จะกลับมายืนขึ้นอีกครั้ง ทางบริษัท Seiko ได้รื้อฟื้นโรงงาน “ไดนิเซย์โกะ” ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1959 และให้ไดนิเซย์โกะแยกตัวออกจากซูวะเซย์โกะ ทำให้ในช่วงนี้ Seiko แบ่งออกเป็น 2 บริษัท คือ 1. Grand Seiko ที่มีฐานการผลิตมาจากโรงงาน Suwa Seiko และ 2. King Seiko จากโรงงาน Daini Seiko ซึ่งจุดประสงค์ในการฟื้นโรงงานและแยกทั้งสองแบรนด์ออกจากกันในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้เกิดการแข่งขันในแวดวงนาฬิกาภายใต้แบรนด์เดียวกัน รวมถึงต้องการสร้างศักยภาพให้กับแบรนด์เพื่อเอาชนะนาฬิกาแบรนด์อื่นๆ จากฝั่งสวิสเซอร์แลนด์

The Grammar of Design” แม่แบบดีไซน์ของ Seiko
ต้นแบบดีไซน์ที่สร้างมาเพื่อ Seiko เท่านั้น
Seiko เริ่มตระหนักแล้วว่าดีไซน์เรียบๆ ของนาฬิกาทำให้ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของตลาดนาฬิกายุโรปได้ Seiko จึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญของดีไซน์นาฬิกามากขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1959 แบรนด์ Seiko ลงทุนจ้างนักออกแบบชาวญี่ปุ่นชื่อดัง “ทาโร่ ทานากะ” (Taro Tanaka) ให้เข้าร่วมออกแบบนาฬิกา ซึ่งเขาสร้างกฎแห่งการออกแบบนาฬิกาสำหรับ Seiko โดยเฉพาะ ทานากะตระหนักว่าถ้าจะเอานาฬิกา Seiko ลงสนามแข่งกับนาฬิกาจากฝั่งสวิสฯ ให้ได้ผลจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในด้านดีไซน์ จึงเกิดเป็นการร่วมมือกันครั้งใหญ่ของทุกแผนกในบริษัท Seiko โดยมีทานากะเป็นหัวเรือใหญ่ครั้งนี้ ในฐานะดีไซเนอร์ของแบรนด์ Seiko เขาได้ออกกฎแห่งการออกแบบนาฬิกา “The Grammar of Design” ซึ่งเป็นหลักการออกแบบนาฬิกาที่ทำขึ้นให้กับแบรนด์ Seiko โดยเฉพาะ และกฎอันนี้จะกลายมาเป็นแม่แบบในการดีไซน์นาฬิกาของแบรนด์ Seiko ทุกเรือนในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

Seiko กับบทพิสูจน์ตัวเอง
Seiko กับหนทางในการพิสูจน์ตัวเอง
Seiko มีเป้าหมายและแนวทางในการเดินหน้าแข่งขันในสนามนาฬิกาโลกอย่างชัดเจนแล้ว ฟันเฟืองทุกอย่างของแบรนด์ก็หมุนเดินหน้าอีกครั้ง โดยในปี ค.ศ. 1964 แบรนด์ซูวะเซย์โกะ เปิดตัวนาฬิกาอีกหนึ่งรุ่นคือ The Grand Seiko 57GS และในปีเดียวกันนั้นเอง แบรนด์ไดนิเซย์โกะก็เปิดตัว The King Seiko 44KS ของตัวเองและเป็นนาฬิกาเรือนแรกของไดนิเซย์โกะที่คุณภาพสูสีตามทัน Grand Seiko เนื่องจาก Grand Seiko ป่าวประกาศออกไปว่านาฬิกา Chronograph ของตนมีความแม่นยำสูงมาก (จากการทดสอบของแบรนด์ตัวเอง) แต่ไม่ได้ส่งนาฬิกาไปทดสอบจากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกอย่าง The European Chronometer Official Association (สถาบันนาฬิกาของยุโรป) ทำให้เกิดความไม่พอใจจากแวดวงนาฬิกายุโรปเป็นอย่างมาก แบรนด์ Seiko จึงต้องหยุดการสถาปนาความแม่นยำของนาฬิกาตัวเองลงในที่สุด

บทเรียนจากฝั่งสวิสฯ ที่ทำให้ Seiko กลับขึ้นสู่บัลลังก์อย่างภาคภูมิ
บทพิสูจน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างภาคภูมิของ Seiko
ในปี ค.ศ. 1964 ทั้งสองแบรนด์ได้ส่งนาฬิกาของตนเองเข้าร่วมการตรวจสอบความแม่นยำและเที่ยงตรง จาก Neuchatel Astronomical Observatory ซึ่งเป็นสถาบันจัดลำดับความแม่นยำของระบบกลไกนาฬิกาสวิสฯ โดยผลการทดสอบออกมาว่า นาฬิกาจากซูวะเซย์โกะได้ลำดับที่ 144 และไดนิเซย์โกะได้ลำดับที่ 153 ตอกย้ำให้ทั้ง Grand Seiko และ King Seiko เสียหน้า เพราะนาฬิกาที่ตัวเองเคลมว่าแม่นยำนักหนาไม่ได้แม่นยำขนาดนั้นเลย อีก 3 ปีต่อมาทั้งสองแบรนด์จึงส่งนาฬิกาเข้าร่วมการทดสอบอีกครั้ง โดยผลลัพธ์ในครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวกระโดดที่ยาวมากๆ ของทั้งสองแบรนด์ เมื่อผลออกมาว่านาฬิกาจากไดนิเซย์โกะได้ลำดับที่ 4, 5 และ 7 ส่วนนาฬิกาจากซูวะเซย์โกะได้ลำดับที่ 12 แต่แค่นั้นคงยังไม่พอ ในการทดสอบครั้งที่ 3 ผลปรากฏว่านาฬิกาของทั้งสองแบรนด์อยู่ในลำดับที่ 2, 4 และ 8 ถือว่าเป็นการเอาชนะนาฬิกาฝั่งสวิสฯ แต่จู่ๆ การทดสอบก็ได้ยุติลง ผลการทดสอบครั้งนั้นจึงเป็นโมฆะ
ทำให้ Seiko ต้องส่งนาฬิกาไปทดสอบกับทาง Geneva Observatory และผลที่ได้ก็คือนาฬิกาของ Seiko ได้ลำดับที่ 4-10 ส่วนลำดับที่ 1-3 นั้นตกเป็นของนาฬิการะบบควอตซ์ นั่นหมายความว่านาฬิกาของ Seiko ถือเป็นนาฬิการะบบ Mechanical ที่แม่นยำที่สุดในโลกตอนนั้น และหลังจากการพัฒนาอย่างหนักหน่วง แบรนด์ Seiko ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาเรือนในตำนาน Grand Seiko 44GS ที่กลายมาเป็นนาฬิการะบบ Manual Winding ที่มีความเที่ยงตรงและแม่นยำที่สุดในโลก

Quartz Crisis สั่นสะเทือนวงการนาฬิกาโลก
Seiko ทำให้วงการนาฬิกาสั่นสะเทือนด้วยวิกฤติ Quartz
ในช่วงระหว่างที่ทั้ง Grand Seiko และ King Seiko กำลังพิสูจน์ความเก๋าของตัวเองให้ฝั่งยุโรปได้เห็น บริษัทแม่อย่าง Seiko ก็ไม่ได้หยุดพัฒนาตัวเองในรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีนาฬิการะบบ Quartz จนในที่สุดช่วงคริสมาสต์ปี ค.ศ. 1969 แบรนด์ Seiko ก็สั่นสะเทือนวงการนาฬิกาโลกด้วยการเปิดตัวนาฬิการุ่น Astron 35SQ ซึ่งเป็นนาฬิการะบบ Quartz เรือนแรกที่ถูกผลิตออกจำหน่าย และ Astron 35SQ ก็เป็นนาฬิกาน้ำดีที่มีความแม่นยำสูง แถมราคาก็ไม่แพง ทำให้แฟนคลับเรือนเวลาสามารถหาซื้อมาไว้ครอบครองได้ และด้วยความแปลกใหม่บวกกับคุณภาพและราคาที่ย่อมเยา ทำให้ Astron 35SQ ส่งผลกระทบครั้งใหญ่กับอุตสาหกรรมนาฬิกาทั่วโลก รู้จักกันดีในชื่อ “The Quartz Crisis”

Seiko กับ Mechanical Watch ที่ไม่มีวันตาย
Seiko เปิดตัว Mechanical Watch พร้อมกลไกแบบใหม่
ถึงแม้ว่านาฬิการะบบ Quartz จาก Seiko จะสั่นสะเทือนวงการนาฬิกาโลกและชนะแบรนด์สวิสฯ อย่างถล่มทลาย แต่การแข่งขันไม่ได้จบลงแค่นั้น วงการนาฬิกาแบรนด์สวิสฯ พยายามหาทางแก้เกมอีกรอบ ซึ่งครั้งนี้แบรนด์นาฬิกาฝั่งสวิสฯ หลายแบรนด์เปลี่ยนแผนกลับมาเล่นความนิยมของ Luxury Watch ที่ยังคงความคลาสสิคของการเป็นนาฬิกาแบบ Machanical เมื่อเทรนด์นาฬิกา Luxury กำลังเป็นที่นิยมในตลาด Grand Seiko จึงหันกลับมาผลิตนาฬิกา Mechanical อีกครั้งและเปิดตัวนาฬิกา The 9SGS ออกสู่ตลาดนาฬิกาในปี ค.ศ. 1998 และถือเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ใช้ Movement แบบ 9S Calibre
ในปีต่อมาก็เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ของโลก Spring Drive ที่มาจากการพัฒนาระบบภายใน ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกของเครื่องกลกับความแม่นยำของระบบไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ Grand Seiko ขึ้นไปยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่าแบรนด์นาฬิกาเรือนอีกๆ บนโลก
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Grand Seiko มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่