History of Longines เปิดประวัติกว่า190 ปีของแบรนด์นาฬิกา Longines
ดูวิดีโอ ประวัติความเป็นมาของแบรนด์นาฬิกา Longines | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
Longines แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 190 ปี และเป็นแบรนด์ที่เก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของโลก สืบทอดเทคนิคการสร้างสรรค์นาฬิกาจากรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งยังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อผลิตนาฬิกาที่สวยงามและมีคุณภาพให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

โดยในวันนี้ Auction House จะพาทุกคนมาเปิดประวัติความเป็นมาของ Longines ที่กว่าจะมีชื่อเสียงระดับโลก ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
Prolouge - จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Longines

Longines ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1832 โดย Auguste Agassiz (ออกุสต์ อากาชิส) ที่เมือง Saint-Imier (แชงต์-อิมิเยร) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นจะดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า Comptoir d'établissage

โดยชิ้นส่วนต่าง ๆ ของนาฬิกาจะถูกผลิตขึ้นที่บ้านของช่างทำนาฬิกา ก่อนที่ชิ้นส่วนทั้งหมดจะถูกส่งมาประกอบเข้าด้วยกันที่ห้องปฏิบัติงานของทางแบรนด์ เพื่อพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า

ต่อมาในปี 1854 ทาง Ernest Francillon (เออร์เนสต์ ฟรานซิลลอน) ผู้เป็นหลานชายของ Auguste Agassiz (ออกุสต์ อากาชิส) ก็ได้เข้ามารับช่วงต่อกิจการ ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทำให้เขาสามารถรวบรวมช่างนาฬิกามากฝีมือให้เข้ามาทำงานร่วมกันได้ และในที่สุดก็ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกาแห่งแรกของแบรนด์ขึ้น

ซึ่งตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าในท้องถิ่นที่รู้จักกันในชื่อ "Es Longines" หมายถึง "ทุ่งหญ้าที่ทอดยาว" ดังนั้น Ernest Francillon (เออร์เนสต์ ฟรานซิลลอน) จึงตัดสินใจนำชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อแบรนด์นาฬิกา โดยโรงงานได้เปิดดำเนินการในปี 1867 ตั้งแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้แล้ว นาฬิกาทุกเรือนที่ผลิตจากโรงงานจะได้รับการสลักหมายเลขบนตัวเรือน เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และในปี 1889 ทางแบรนด์ก็ได้จดทะเบียนชื่อการค้า Longines และโลโก้นาฬิกาทรายติดปีก ทั้งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และครอบคลุมไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีการจดสิทธิบัตรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
Chapter 1 - ผู้บุกเบิกนาฬิกาจับเวลาสำหรับนักบิน

นาฬิกาข้อมือโครโนกราฟรุ่นแรกของแบรนด์
เข้าสู่ยุค 1900s ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของนาฬิกาข้อมือและการบิน โดยในปี 1911 ทาง Longines ได้สร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือให้กับนักบินชาวรัสเซีย โดยใช้กลไกคาลิเบอร์ 19.73N ซึ่งเป็นกลไกของนาฬิกาพก ที่ออกมาในปี 1909 ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชัน Chronograph จึงทำให้นาฬิกาเรือนนี้เป็นหนึ่งในนาฬิกาข้อมือกลไก Chronograph รุ่นแรก ๆ ของโลก

กำเนิด Caliber 13.33z ในตำนาน
ต่อมาในปี 1913 กลไกคาลิเบอร์ 13.33z ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยกลไกนี้มีขนาดเพียง 29 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นกลไกโครโนกราฟชุดแรก ๆ ของโลกที่สร้างมาเพื่อใช้กับนาฬิกาข้อมือโดยเฉพาะ เนื่องจากนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟก่อนหน้านี้ใช้กลไกโครโนกราฟของนาฬิกาพกมาดัดแปลงใช้งานทั้งสิ้น

ซึ่งนาฬิกาเรือนที่ใช้กลไก 13.33z นี้ ก็ได้ถูกสวมใส่โดย Amelia Earhart นักบินชาวอเมริกันยุคบุกเบิก ในระหว่างที่ทำการบินข้ามมหาสมุทร แอตแลนติกอีกด้วย
Two Records of World's First การสร้างสถิติเรือนแรกของโลก
ถัดมาในปี 1925 ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือเรือนแรกที่มีฟังก์ชันแสดงเขตเวลาที่สองได้สำเร็จโดยใช้เข็มชั่วโมงอีกชุดที่ถูกเพิ่มเข้ามา อีกทั้งบนหน้าปัดนาฬิกายังมีการประดับ Z flag ไว้

โดยตัวอักษร Z นั้นย่อมาจาก Zulu Time หมายถึง เวลามาตรฐานโลก ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ได้ถูกใช้งานโดยผู้ควบคุมวิทยุบนเรือเพื่อแปลงเวลาในตำแหน่งปัจจุบันให้เป็นเวลามาตรฐานโลกในพื้นที่ต่าง ๆ

นอกจากนี้แล้ว ทางแบรนด์ก็ยังได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟเรือนแรกของโลกที่มีฟังก์ชัน Flyback พร้อมปุ่มกดแยกเป็นอิสระสองปุ่ม ซึ่งทำให้สามารถรีเซตและจับเวลาใหม่ได้อย่างต่อเนื่องด้วยปุ่มกดเพียงครั้งเดียว ทำให้นักบินสามารถวัดระยะการบินได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

Weems Second Setting Watch นาฬิกาที่สามารถตั้งวินาทีได้
ในปี 1928 โดยสืบเนื่องจากนาฬิกาในสมัยนั้นยังไม่มี Hacking Second จึงไม่สามารถตั้งเวลาระดับวินาทีให้แม่นยำได้ แบรนด์ Longines กับ Philip Van Horn Weems นายทหารจากกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนการนำทางสำหรับนักบินและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์คิดค้นนาฬิกาด้วย ได้สร้างสรรค์นาฬิกาที่สามารถตั้งวินาทีได้

โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดด้านในหมุนได้ที่ใช้งานควบคู่กับเข็มวินาที ทำให้นักบินสามารถตั้งเวลาให้ตรงตามสัญญาณเวลาจากวิทยุได้อย่างแม่นยำ จึงมีการเรียกขานชื่อนาฬิกานี้ว่า Weems Second Setting Watch

Calibre 13ZN กลไก Chronograph ที่ซับซ้อนที่สุด
แบรนด์ Longines ยังคงมุ่งมั่นพัฒนากลไก Chronograph อย่างต่อเนื่อง และเปิดตัว Calibre 13ZN ซึ่งเป็นกลไก Flyback Chronograph พร้อมทั้งได้ยื่นจดสิทธิบัตรกลไก Flyback นี้อีกด้วย ซึ่งกลไก Caliber 13ZN ถือว่าเป็นกลไก Chronograph ที่มีความซับซ้อนที่สุดในยุคนั้น

ทั้งหมดนี้ ทำให้นาฬิกานักบินของ Longines มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก เพราะถูกสวมใส่โดยบุคคลสำคัญในแวดวงการบินอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น เอลินอร์ สมิธ (Elinor Smith), พอล-เอมิลวิกเตอร์ (PaulEmile Victor), Howard Hughes, และ Amy Johnson
Chapter 2 - ความก้าวหน้าของ Longines ในแต่ละช่วงยุคสมัย
เปิดตัวคอลเลกชันแรกของแบรนด์
เข้าสู่ยุค 50s แบรนด์ Longines ได้แบ่งนาฬิกาออกเป็นคอลเลกชันต่าง ๆ ซึ่งเป็นแบรนด์นาฬิกาแรก ๆ ที่จัดระเบียบเช่นนี้

โดยในปี 1954 ก็ได้เปิดตัวคอลเลกชัน Conquest ที่มาพร้อมหน้าปัดแบบด้าน สี Silver Champagne ประดับหลักชั่วโมงแบบมีเหลี่ยมมุม ผสานเข้ากับตัวเรือนและกลไกใหม่ ทำให้ภาพรวมของนาฬิกามีความคลาสสิกสวยงาม

สามปีต่อมาได้เปิดตัวคอลเลกชันที่สองของแบรนด์ นั่นก็คือ Flagship โดยได้มีการปรับให้นาฬิกามีความหรูหรามากยิ่งขึ้น ส่วนด้านหลังจะสลักรูปเรือ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของคอลเลกชันนี้มาจนถึงในปัจจุบัน
Legend Diver นาฬิกาดำน้ำของแบรนด์
ในช่วงยุค 50s แบรนด์ Longines ได้เปิดตัว Legend Diver นาฬิกาดำน้ำที่สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 120 เมตร

โดยขอบหน้าปัดด้านในจะหมุนได้สองทิศทาง ซึ่งสามารถตั้งค่าผ่านเม็ดมะยมได้ที่บริเวณ 2 นาฬิกา มาพร้อมเข็มที่มีความเป็นเอกลักษณ์ โดยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น Iconic Design ของนาฬิกาดำน้ำจากแบรนด์ Longines เรื่อยมา
High Frequency Watches นาฬิกาข้อมือความถี่สูง
ต่อมาในปี 1959 ทางแบรนด์ได้เปิดตัวกลไกสำหรับนาฬิกาข้อมือความถี่สูงเรือนแรกของโลก ที่เดินด้วยความถี่ถึง 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง และมีความแม่นยำระดับ Chronometer

โดยในปี 1961 นาฬิกาที่ใช้กลไกนี้ก็ได้รับรางวัลที่ 1 และที่ 2 ในการประกวดการแข่งขันนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงสูงสุด

อีกทั้งทางแบรนด์ยังได้ยกระดับกลไกความถี่สูง (High Frequency) ไปอีกขั้นกับ Calibre 360 และเปิดตัวนาฬิการุ่น Ultra-Chron ในปี 1967 โดยเป็นนาฬิกาข้อมือที่แม้เดินด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมงเช่นเดิม แต่มีความแม่นยำสูงกว่าระดับโครโนมิเตอร์เลยทีเดียว

Quartz Era นาฬิกาควอตซ์
เข้าสู่ยุค 60S กระแสของนาฬิกาควอตซ์ (Quartz) ได้เป็นกลายเป็นที่นิยมและได้ส่วนแบ่งจากตลาดนาฬิกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทาง Longines ก็ได้ปรับตัวและผลิตนาฬิกาข้อมือระบบควอตซ์เรือนแรกของแบรนด์ออกมาในปี 1969 แน่นอนว่านาฬิกานั้นมีความเที่ยงตรงมากที่สุดตั้งแต่ที่ Longines เคยผลิตมา

และในปี 1972 แบรนด์ Longines ก็ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ASUAG (Société Générale de l'Horlogerie Suisse) และยังคงสร้างสรรค์นาฬิกาควอตซ์ (Quartz) อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาดิจิทัลแสดงผลบนจอ LCD และรุ่น “Golden Leaf” ที่เปิดตัวในปี 1979 ซึ่งทำลายสถิติด้วยการเป็นนาฬิกาที่มีความหนาเพียง 1.98 มิลลิเมตร เท่านั้น
Chapter 3 - นาฬิกา Longines ในยุคปัจจุบัน
ในปี 1983 บริษัท ASUAG ได้ถูกควบรวมกับ SSIH กลายเป็นบริษัท Société Suisse de Microélectronique et d'Horlogerie (SMH) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น The Swatch Group ในปี 1988 และทาง Longines ก็ได้เข้าสู่ยุคใหม่ภายใต้การบริหารงานของ Swatch Group

กำเนิดคอลเลกชัน Longines DolceVita
ในปี 1997 แบรนด์เปิดตัวเรือนเวลาทรงสี่เหลี่ยมสุดไอคอนิกที่มีชื่อว่า Longines DolceVita (ลองจินส์โดลเชวิต้า) ซึ่งชื่อนี้มาจากคำว่า "Dolce Vita" ในภาษาอิตาเลียน ที่แปลว่า "ชีวิตอันหอมหวาน" โดยสื่อให้เห็นถึงความอ่อนหวานในการออกแบบ โดดเด่นด้วยตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามสไตล์ Art Deco โดยการผสมผสานทรวดทรงเรขาคณิตให้เข้ากับเส้นสายนาฬิกาที่อ่อนช้อย

ซึ่งในปัจจุบัน นาฬิการุ่นนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์รูปทรงของตัวเรือนไว้ได้เป็นอย่างดี มีให้เลือกหลากหลายแบบ และหลากหลายวัสดุ โดยรุ่นที่เป็นภาพจำก็คือตัวเรือนวัสดุสเตนเลสสตีล ขนาด 20.80 X 32.00 มิลลิเมตร หน้าปัดสีเงินลวดลาย "Flinqué" มาพร้อมฟังก์ชัน ชั่วโมง นาที และวินาทีขนาดเล็กที่ 6 นาฬิกา ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกระบบควอตซ์ ส่วนด้านหลังตัวเรือนสลักโลโก้อันเป็นเครื่องหมายการค้าแรกที่แบรนด์จดทะเบียนในปี 1889

กำเนิดคอลเลกชัน The Longines Master Collection
ในปี 2005 ทางแบรนด์ได้เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ The Longines Master Collection ซึ่งเป็นการผสมผสานความสง่างามแบบคลาสสิกเข้ากับกลไกจักรกลคุณภาพสูง ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นคอลเลกชันหลักที่มีกลไกให้เลือกสรรมากมายตั้งแต่ฟังก์ชัน Date, Moonphase, Chronograph ไปจนถึง Annual Calendar ซึ่งถือว่าเป็นคอลเลกชันที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดของแบรนด์เลยก็ว่าได้

โดยรุ่นปัจจุบันที่เรานำมาเสนอนี้ โดดเด่นด้วยฟังก์ชันที่สลับซับซ้อน มาพร้อมฟังก์ชัน Chronographs, Moonphase และ Complete Calendar โดยจะแสดงวันที่ผ่านเข็มรูปพระจันทร์ครึ่งดวงซึ่งจะชี้ไปที่ตัวเลขรอบหน้าปัด ส่วนวันและเดือนสามารถดูได้ที่หน้าปัดย่อยบริเวณ 12 นาฬิกา ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง พร้อมการสำรองพลังงานนานถึง 66 ชั่วโมง

คอลเลกชัน HydroConquest
คอลเลกชัน HydroConquest เปิดตัวครั้งแรกในปี 2007 ในรูปแบบนาฬิกาดำน้ำแบบโมเดิร์น มีความทันสมัยแต่ดูสมบุกสมบัน และโฉบเฉี่ยวมากขึ้น มาพร้อมขอบหน้าปัดที่ได้รับการขัดแต่งอย่างสวยงาม ที่หมุนได้ทิศทางเดียวตามแบบฉบับนาฬิกา Diver และสามารถกันน้ำลึกได้ถึง 300 เมตร

ในปัจจุบัน Longines HydroConquest ได้ขยายให้มีตัวเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนาด สีหน้าปัด และวัสดุต่าง ๆ โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมก็จะเป็นตัวเรือนสเตนเลสสตีล โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีดำซันเรย์ มาพร้อมขอบหน้าปัดเซรามิกหมุนได้ทิศทางเดียว ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ พร้อมการสำรองพลังงานนานถึง 72 ชั่วโมง และความสามารถในการกันน้ำลึก 300 เมตร

คอลเลกชัน Longines Flagship
ในปี 2017 แบรนด์ Longines ก็ได้นำคอลเลกชัน Flagship ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 กลับมาอีกครั้งภายใต้ชื่อ FLAGSHIP Heritage มาพร้อมการออกแบบที่เหนือกาลเวลา และหรูหราเป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ส่วนรุ่นที่น่าสนใจในปัจจุบันนี้ เป็นรุ่น FLAGSHIP Heritage ตัวเรือนมีขนาดอยู่ที่ 38.5 มิลลิเมตร ทำจากวัสดุสเตนเลสสตีล มาพร้อมหน้าปัดสีเงิน เข็มและหลักชั่วโมงสีทอง ที่อิงจากการออกแบบของนาฬิกา Flagship รุ่นดั้งเดิม ทำให้ภาพรวมดูมีความย้อนยุคสวยงามเหนือกาลเวลา ซึ่งหากพลิกมาด้านหลังก็จะเห็นรูปเรือที่ถูกสลักไว้ที่ฝาหลังของตัวเรือน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันโดนเด่นของคอลเลกชันนี้ ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ ที่สามารถสำรองพลังงานได้นาน 50 ชั่วโมง

คอลเลกชัน Longines Spirit
Longines Spirit เป็นคอลเลกชันใหม่ล่าสุดของแบรนด์ Longines ที่เปิดตัวในปี 2020 โดยเป็นนาฬิกาแนว Pilot Watch ที่สืบทอดจิตวิญญาณของนักบุกเบิก เพื่อเชิดชูเกียรติให้กับเหล่านักผจญภัยทั้งในอดีตและปัจจุบัน

โดยรุ่นที่เรานำมาเสนอนี้ คือ Longines Spirit Chronograph Flyback มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะมาพร้อมกลไก Chronogaph แบบ Flyback ที่ตอกย้ำความสำเร็จของ Longines ในอดีตที่ได้คิดค้นฟังก์ชัน Flyback ขึ้นมาเป็นเรือนแรกของโลกได้สำเร็จ มาพร้อมหน้าปัดทรงกลม ขนาด 42 มิลลิเมตร ตัวเรือนทำจากวัสดุสเตนเลสสตีล ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติที่ได้มาตรฐาน COSC พร้อมการสำรองพลังงานนาน 68 ชั่วโมง และกันน้ำลึก 100 เมตร

คอลเลกชัน Conquest
ในปี 2024 นี้ เป็นวาระครบรอบ 70 ปีของคอลเลกชัน Conquest ซึ่งเป็นนาฬิกาคอลเลกชันแรกของแบรนด์ Longines จึงได้มีการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ Conquest Heritage Central Power Reserve ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนาฬิกา Conquest Ref. 9028 ในปี 1959 ซึ่งโดดเด่นด้วยการแสดงพลังงานสำรองผ่านแผ่นสเกลตรงกลางหน้าปัด

โดยนาฬิการุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมหน้าปัด 3 สี ได้แก่ Black, Anthracite และ Champagne มีการปรับขนาดตัวเรือนให้ใหญ่ขึ้นจากรุ่นดั้งเดิมมาเป็น 38 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ ซึ่งแน่นอนว่าจุดเด่นของรุ่นนี้ อยู่ที่แผ่นแสดงพลังงานสำรองที่จะหมุนเมื่อนาฬิกาถูกขึ้นลาน และจะสามารถอ่านค่าพลังงานสำรองผ่าน Marker ตรงกลางหน้าปัดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนคลับสาย Vintage กันไม่น้อย

ทุกวันนี้ Longines ได้นำเสนอนาฬิกาออกมาอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาสไตล์ Dress Watch ที่มีความหรูหรา ไปจนถึงแนว Sport Watch ที่มีความสมบุกสมบัน ทำให้มีแฟนคลับมากมายจากทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนที่ทางแบรนด์ Longines ได้ทำสถิตใหม่สร้างยอดขายเป็นอันดับ 1 สำหรับหมวดหมู่นาฬิกาหรูและเครื่องประดับ ในช่วง Quarter 3 ปี 2023 ที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความสำเร็จของแบรนด์ Longines ได้เป็นอย่างดี

สำหรับแฟนคลับชาวไทย ทางแบรนด์ Longines ได้มีการปรับโฉมบูติกใหม่ที่ชั้น 2 ของ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ (King Power Rangnam) พร้อมให้บริการทุกท่านแล้ว
#longines #longinesthailand #longingespirit #longinesWatch #longinesConquest #นาฬิกาลองจินส์