ประวัติความเป็นมาของ Cartier | Auction House
ประวัติความเป็นมาของ Cartier | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
Cartier คือแบรนด์เครื่องประดับและแบรนด์นาฬิกา พวกเขามีจิตวิญญาณแห่งความเป็นเลิศที่ไม่ยอมปล่อยสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพออกสู่ตลาด เพราะเครื่องประดับและนาฬิกาทุกชิ้นจะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสายตาของพวกเขา แล้วอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อนำจิตวิญญาณเช่นนี้มาผสมผสานกับความสามารถและความละเอียดอ่อนของช่างอัญมณีและช่างทำนาฬิกา คำตอบที่ได้อยู่ที่นี่แล้วในแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่ชื่อว่า “Cartier”

แบรนด์เครื่องเพชรที่เริ่มต้นด้วยพื้นฐานของช่างทำนาฬิกา
เรื่องราวของ Cartier เริ่มต้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ณ กรุงปารีส เมื่อ Louis-François Cartier ชายหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์และลูกจ้างของ Adolphe Picard ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกา พวกเขาเปิดร้านเล็ก ๆ อยู่ที่ Rue Montorgueil ทุกสิ่งเปลี่ยนไปในปี 1847 เมื่อ Louis ได้สืบทอดร้านของอาจารย์และเปิดร้านเป็นของตัวเอง ซึ่งนอกจากจะขายนาฬิกาแล้วเขายังรับเครื่องเพชรจากฝรั่งเศสและเมืองอื่น ๆ มาขายอีกด้วย แม้เขาอาจจะไม่ได้มีต้นทุนมากแต่เขาคัดสรรสินค้าทุกชิ้นเป็นอย่างดี เพื่อการันตีให้กับลูกค้าว่าเครื่องประดับเหล่านั้นคุณภาพยอดเยี่ยมจริง ๆ แต่แล้วในปี 1848 ได้เกิดการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส โดยชนชั้นแรงงานได้ต่อต้านคนรวยและกษัตริย์ของพวกเขา สถานการณ์นี้ทำให้ร้านเครื่องเพชรเล็ก ๆ ของ Louis ตกในที่นั่งลำบาก ถึงอย่างนั้นธุรกิจของ Louis ก็ไม่ได้เจ๊งและผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ แต่แล้วเหตุการณ์รุนแรงก็กลับมากระทบเขาอีกครั้ง เมื่อการปฏิวัติสังคมนิยมหรือ “คอมมูนปารีส” ได้เกิดขึ้นในปี 1871 เหตุการณ์นี้ทำให้ชนชั้นสูงต้องหนี เนื่องจากผู้นำคนใหม่มีเป้าหมายที่กำจัดกลุ่มคนร่ำรวย ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือพวกเขาต้องขายเครื่องประดับ ถึงแม้จะได้ราคาที่ต่ำก็ต้องยอม ซึ่งผู้ที่รับซื้อเครื่องเพชรไว้นั้นก็คือร้าน Cartier ที่บริหารโดย Alfred ลูกชายของ Louis ก็ต้องนับว่าโชคเข้าข้าง Cartier ในครั้งนี้ เพราะการปฏิวัตินั้นสิ้นสุดลงภายใน 2 เดือน ทางร้านก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แถมตอนนี้พวกเขายังมีคอลเลกชันเครื่องประดับชั้นเลิศมากมายไว้ในครอบครองอีกด้วย

ศูนย์กลางเครื่องประดับของปารีสและโลก
หลังจากการปฏิวัติสังคมนิยมหรือ “คอมมูนปารีส” Cartier ก็ได้กลายเป็นร้านเครื่องประดับที่ทุกคนต่างยอมรับ และเนื่องจากมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น Alfred จึงได้ตัดสินใจเปิดร้านใหม่ที่ Rue de La Paix ในปี 1899 เพื่อประกาศให้คู่แข่งรู้ว่า Cartier คือแบรนด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ กระแสตอบรับนั้นดีเกินคาด เพราะตอนนี้ผู้คนมากมายรวมทั้งชนชั้นสูงและผู้มีศักดิ์ทั้งในและต่างประเทศต่างให้ความสนใจกับร้าน ดังนั้น Cartier จึงกลายเป็นศูนย์กลางด้านเครื่องเพชรที่สำคัญที่สุดในปารีสและในโลก แต่น่าเสียดายที่ Louis ไม่สามารถอยู่ชื่นชมความสำเร็จนี้ได้นาน เขาได้จากโลกนี้ไปในปี 1904 อย่างไรก็ตาม Alfred ก็ไม่ได้บริหาร Cartier ตามลำพังเพราะลูกชายทั้งสามของเขาคือ Louis, Pierre, และ Jacques ได้เข้ามาช่วยในการบริหารงาน แถมยังทำได้ดีอีกด้วย โดยมี Louis เป็นผู้นำทีม เขามีความเคร่งครัดอย่างมากในมาตรฐานระดับ “perfection” เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ต้องเสียชื่อด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งสามได้ออกเดินทางเพื่อขยายชื่อเสียงของแบรนด์ไปทั่วโลก โดย Louis ได้เดินทางไปประเทศรัสเซียในปี 1904 เพื่อทำเครื่องเพชรให้กับขุนนางและชนชั้นสูง ซึ่งได้รับกระแสตอบรับดีมาก ส่วน Jacques ได้เปิดร้านในกรุงลอนดอนในปี 1909 เขาได้ทำเครื่องเพชรมากมายให้กับเจ้าชายอินเดีย และในปีเดียวกันนี้ Pierre ก็ได้เดินทางไปเปิดสาขาเพิ่มที่นครนิวยอร์กซึ่งเครื่องประดับของแบรนด์นั้นต่างเป็นที่ชื่นชอบของดารา Hollywood อย่างที่สุด

คอลเลกชันธรรมชาติที่สะท้อนความเป็นเลิศ
เครื่องประดับของ Cartier นอกจากจะมีจุดเด่นอยู่ที่คุณภาพเป็นเลิศแล้วยังมีเอกลักษณ์ในสไตล์ธรรมชาติอีกด้วย ทางแบรนด์มีคอลเลกชันเครื่องเพชรมากมายที่สะท้อนความงดงามอย่าง “FAUNA” ซีรีส์เครื่องเพชรที่มีหน้าตาเหมือนสัตว์จากทุกทวีปทั่วโลก เช่น แมลงปอ นก งู ซึ่งสัตว์บางตัวสามารถขยับแขนขาได้ด้วย อีกคอลเลกชันหนึ่งคือ “FLORA” ประกอบไปด้วยกำไลข้อมือ เข็มกลัด และสร้อยคอที่มีหน้าตาของดอกไม้ที่ตกแต่งด้วยเพชร และสุดท้ายคือ “PANTHER” สัตว์ประจำตระกูล Cartier ซึ่งแม้ชื่อจะเป็นเสือดำแต่สำหรับ Cartier มันคือ “เสือดาว” โดยคอลเลกชันนี้มีทั้งนาฬิกา กำไลข้อมือ สร้อยคอ หรือแหวน ซึ่งเมื่อก่อนคุณปู่ Louis ก็ไม่ได้มีตราประจำตระกูล แต่ Louis รุ่นหลานต่างหากที่เป็นผู้เริ่มต้นไอเดียนี้ เขาได้ทำนาฬิกาลายเสือดาวให้กับ Jean Toussaint คนรักของเขาในปี 1917 โดยลวดลายเสือดาวนั้นทำจากเพชรและโอนิคส์สีดำ Louis ได้ตั้งชื่อนาฬิกาเรือนนี้ว่า “La Panthère” ซึ่งนอกจาก Jean จะปลื้มมาก ๆ แล้ว เธอในฐานะหนึ่งใน Creative Team ก็ได้ประยุกต์ลวดลายนี้ให้มีทรงและเส้นสายที่ Dynamic มากขึ้น พร้อมกับทำให้เป็นเป็นคอลเลกชันสำหรับสตรี! แน่นอนว่าทั้งสามคอลเลกชันนี้ ได้กลายเป็นรากฐานที่มีคุณค่าของแบรนด์พร้อมกับเป็นที่ต้องการของทุกคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ช่างอัญมณีของราชวงศ์
ในช่วงปี 1904 - 1939 Cartier ได้รับโอกาสพิเศษในการทำเครื่องประดับให้กับราชวงศ์ และได้ใบรับรองจากราชวังทั่วโลกถึง 15 ใบเลยทีเดียว เช่น อังกฤษ สเปน อินเดีย รัสเซีย ไทย เป็นต้น โดยจะขอหยิบตัวอย่างมาทั้งหมด 3 ชิ้น ดังนี้
ท่านแรกคือ King Edward VII ในปี 1904 แห่งสหราชอาณาจักร ผู้สั่งซื้อรัดเกล้า 27 ชิ้นสำหรับพระราชพิธีขึ้นครองราช ซึ่งพระองค์คือผู้ที่กล่าวว่า Cartier คือ "the jeweler of kings and the king of jewelers" ซึ่งมีความหมายว่า “ช่างอัญมณีสำหรับราชาและเป็นราชันย์แห่งอัญมณี” ประโยคเด็ดที่นิยามความเลิศล้ำของ Cartier ได้อย่างเหมาะสมและคู่ควร
ถัดมาในปี 1909 Grand Duchess Maria Pavlovna แห่งรัสเซียได้มีพระราชโองการให้ Cartier ผลิตรัดเก้าที่ประดับด้วยเพชรและแซฟไฟร์เนื่องจากพระองค์ทรงหลงใหลในเครื่องเพชรอย่างยิ่ง ซึ่งเครื่องประดับจาก Cartier ควรค่าอย่างยิ่งที่จะอยู่ในคอลเลกชั่นของพระองค์
ปิดท้ายด้วยปี 1926 ท่าน Jagatjit Singh มหาราชาแห่ง Kapurthala (อินเดียในปัจจุบัน) ได้ขอให้ Cartier สร้างเครื่องประดับศีรษะที่ประกอบไปด้วยมรกตทั้งหมด 19 ชิ้นซึ่งมรกตทรงหกเหลี่ยมชิ้นที่ใหญ่ที่สุดมีน้ำหนักอยู่ที่ 117.40 กะรัตแถมยังมีเพชรประดับรอบ ๆ มรกตอีกด้วย แม้ท่านมหาราชาจะเป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับชิ้นนี้เอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเนื้องานของ Cartier นั้นอยู่ในระดับตำนานจริง ๆ

1904 Cartier Santos นาฬิกานักบินแรกของโลก
ย้อนกลับไปในปี 1904 คุณ Alberto Santos-Dumont เพื่อนสนิทของ Louis (รุ่นหลาน) ได้ขอให้เขาสร้างนาฬิกาที่สามารถดูเวลาได้อย่างไม่ติดขัดในขณะขับเครื่องบิน และการหยิบ Pocket Watch มาดูบ่อย ๆ คงไม่สะดวก Louis จึงได้ออกแบบนาฬิกาทรงแบนพร้อมขอบหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และตั้งชื่อว่า Santos ตามชื่อของเพื่อนนักบินของเขา แม้มันอาจดูไม่เหมือน Pilot Watch อย่างที่เราพบเห็นกันบ่อย ๆ แต่ Santos คือ “นาฬิกานักบินเรือนแรกของโลก” พร้อมกับจุดเริ่มต้นความ iconic ของ Cartier อีกด้วย และในที่สุด Cartier ก็ได้เริ่มจำหน่าย Santos แก่สาธารณะชนครั้งแรกในปี 1911 ซึ่งคอลเลกชันนี้ก็ยังคงจัดจำหน่ายอยู่ทุกวันนี้

1912 การเปิดตัวแพคคู่ของ Baignoire และ Tortue
ไอเดียเกี่ยวกับนาฬิกาของ Louis ไม่ได้จบที่ Santos เพราะในปี 1912 เขาเกิดไอเดียดี ๆ ที่จะยืดนาฬิกานั้นให้ยาวขึ้นซึ่งก็ไม่ได้ยืดเฉย ๆ เพราะขอบหน้าปัดวงรีนั้นคือรูปทรงที่อยู่ตรงกลางระหว่างเส้นขนานแนวตั้งทั้งสองเส้นอย่างสมบูรณ์แบบ และเนื่องจากหน้าตาคล้ายกับอ่างอาบน้ำอีก Louis จึงตั้งชื่อคอลเลกชั่นนี้ว่า “Baignoire” ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าอ่างอาบน้ำ จากนั้นมีการปรับดีไซน์ให้หน้าเป็นทรงไข่มากขึ้นในช่วง 1950s และได้ออกรุ่นต่อยอดอย่าง “Baignoire Allongée” ในช่วง 1960s โดยตัวเรือนมีขนาดใหญ่ระดับ Oversized แถมยาวมากขึ้นจนปิดข้อมือคุณผู้หญิงได้เลย Allongée คือนาฬิกาชิค ๆ ผสมความเรียบหรู และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Cartier มีดีไซน์ซิกเนเจอร์ที่เน้นไปทางธรรมชาติ Louis จึงเกิดไอเดียอีกครั้งในการสร้างนาฬิกาที่มีรูปทรงคล้ายกับ “เต่า” ขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้คือนาฬิกาเคสที่ผสมผสานไปด้วยเส้นสายที่เหลี่ยมและโค้งคล้ายกระดองเต่า เหมาะกับทุกเพศทุกวัยเพราะชายจะใส่ก็ได้หญิงจะใส่ก็ดี Tortue คือความคลาสสิกฉบับใหม่ที่โลกไม่มีวันลืม

1917 Cartier Tank สุดยอด Dress Watch ระดับราชวงศ์
ห้าปีผ่านไปไอเดียดี ๆ ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งในปี 1917 เมื่อ Louis ต้องการออกแบบนาฬิกาให้กับนายพล John Pershing แห่งกองกำลังรบนอกประเทศของสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นของขวัญฉลองชัยชนะ และเพื่อให้เหมาะกับชายชาติทหาร Louis จึงได้แรงบันดาลใจจากล้อตะขาบของรถถัง Renault FT-17 มาออกแบบเคสของนาฬิกา ทั้งหมดจึงออกมาเป็น “Tank” นาฬิกาทรงเหลี่ยมที่มีขอบหนาและเส้นคมดุดันแต่กลับให้อารมณ์สุนทรีย์สมกับเป็น Dress Watch ซึ่ง Louis ได้มอบนาฬิกาเรือนนี้ให้กับนายพลในปี 1918 และช่วงปี 1920s นั้น Cartier ก็ได้เริ่มต้นสลักเลข reference ลงบนตัวเรือนเพื่อให้แตกต่างจากของปลอม และยิ่งไปกว่านั้นในปี 1996 เจ้าหญิงไดอาน่าก็ได้เลือกสวมใส่ Tank ออกงานเป็นประจำ ส่งผลให้ความนิยมของ Tank พุ่งสูงจนได้รับภาพลักษณ์ใหม่ว่าเป็น “นาฬิกาของราชวงศ์”

1932 Cartier Pasha ครั้งแรกของแบรนด์กับนาฬิกากันน้ำ
ในปี 1932 สุลต่าน El Glaoui แห่ง Marrakech ผู้ต้องเดินทางบ่อย ๆ ได้ร้องขอให้ Louis ออกแบบนาฬิกาที่สามารถใส่ออกงานและเล่นกีฬาได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเปียกน้ำ ซึ่ง Louis ก็รับข้อเสนอและได้ออกแบบนาฬิกาซีรีส์ “Pasha” (มีความหมายเดียวกับคำว่า “สุลต่าน”) นาฬิกาเรือนแรกของแบรนด์ที่กันน้ำได้ แต่ที่น่าเสียดายกว่านั้นคือ Louis ตั้งใจว่าจะวางขายรุ่นนี้แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ส่วน Pasha รุ่นแรกตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งในปี 1985 ทาง Cartier ได้ตัดสินจ้าง Gerald Genta ผู้ออกแบบ Royal Oak และ Nautilus ให้มาออกแบบ Pasha ซึ่ง Cartier ก็ชี้แจงไว้ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการให้ Pasha มีความล่ำสำและกันน้ำได้อย่างเต็มตัว โดยไม่ทิ้งความงามแบบฉบับ Cartier ผลที่ได้คือนาฬิกาทรงกลมหน้าปัดเส้นตารางขนาด 38 มม. มาร์กเกอร์ตัวเลขอราบิก เคสแบบ Ccrewed-Down และมีการใช้ “ฝา” (cap) ในการปกป้องเม็ดมะยม ซีรีส์ Pasha ได้รับการอัปเกรดอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนหน้าปัดและเพิ่มฟังก์ชั่นที่ซับซ้อนอย่าง Tourbillon ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นการอัปเกรดก็คือปี 2011 น่าเสียดายที่ Pasha ไม่บูมเท่า AP และ PP ซึ่งเหตุผลหลักอาจเป็นเพราะขาดดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์นั่นเอง

ID ONE และ ID TWO สุดยอดคอนเซ็ปต์นาฬิกาแห่งอนาคตที่ล้นด้วยนวัตกรรม
หลังจาก Robert Hocq และ Joseph Kanoui ได้กู้สถานการณ์ของ Cartier ได้ระดับหนึ่งแล้ว ในที่สุด Cartier ก็ได้เข้าร่วม The Richemont Group ในปี 1993 ทำให้ Cartier มีทรัพยากรที่ดียิ่งขึ้นและสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของแบรนด์ได้ไกลกว่าเดิม ซึ่งในปี 2009 ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัว ID ONE นาฬิกาคอนเซ็ปต์ที่ไม่จำเป็นต้องมีการปรับแต่งใด ๆ ทั้งในระหว่างการประกอบและตลอดชีวีต เพราะนาฬิกา Mechanical มีชิ้นส่วน Hairspring, The balance, และ Pallet Fork ที่ต้องถูกปรับแต่งเสมอระหว่างการประกอบ และ Cartier เองต้องการกำจัดข้อจำกัดนี้โดยสร้าง Hairspring ที่ทำมาจาก Ceramic ผสมกับ Glass วัสดุที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กและอุณภูมิ มีการใช้ชิ้นส่วน Balance Wheel, Escape Wheel และ Lever จาก Carbon Crystal ที่แข็งแกร่งทนทานได้ทำให้กลไกไม่จำเป็นต้องมีน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Escapement Cage เพื่อป้องกันการกระแทก พร้อมกับการเคลือบ ADLC เพื่อลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วน ID ONE มาในเคสของรุ่น Ballon Bleu วัสดุ Niobium-Titanium ที่รับแรงกระแทกได้มากกว่า Steel นับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของ Cartier ในทิศทางใหม่เพื่อสร้างนวัตกรรมที่สมบูรณ์แบบ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นแค่คอนเซ็ปต์เท่านั้นจึงไม่มีการวางขาย แต่มีการผลิตออกมาจริง ๆ
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Cartier มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่