ประวัตินาฬิกา King Seiko กับตำนานที่หายไป | Auction House
ดูวิดีโอ ประวัตินาฬิกา King Seiko กับตำนานที่หายไป | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

History of King Seiko
King Seiko คือแบรนด์นาฬิกาย่อยของ Seiko ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก เพราะได้ห่างหายจากวงการนาฬิกาไปอย่างยาวนาน แต่ความความจริงแล้ว King Seiko เป็นหนึ่งในรากฐานที่สำคัญของ Seiko โดยครั้งนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ King Seiko ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร

Prologue - จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Seiko
เริ่มต้นเรื่องราวจากแบรนด์หลักคือ Seiko ที่ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1881 โดย คินทาโร่ ฮัตโตริ (Kintaro Hattori) ได้ตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตนาฬิกาขึ้นที่กรุงโตเกียว ในชื่อว่า “Seikosha” ซึ่งประกอบด้วยคำว่า Seiko ที่หมายถึง “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” และคำว่า Sha อันหมายถึง “บ้าน” หลังจากที่ก่อตั้งโรงงานมาได้ช่วงหนึ่ง แบรนด์ก็เจอกับบททดสอบที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงงานและสำนักงานพังราบ หลังจากนั้นก็เจอกับวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้โรงงานผลิตนาฬิกาของ Seiko ทั้งหมดต้องถูกปิดลง คินทาโร่ ฮัตโตริ (Kintaro Hattori) จึงต้องกัดฟันเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง และได้รื้อฟื้นตั้งโรงงานหลักขึ้นมาใหม่ถึงสองแห่ง นั่นก็คือ "Suwa Seikosha" ที่ตั้งอยู่ในเมืองซูวะ จังหวัดนากาโน่ และ “Daini Seikosha” ซึ่งอยู่ที่คาเมโดะ จังหวัดโตเกียว

Chapter 1 - จุดกำเนิด Grand Seiko และ King Seiko
โดยปัญหาที่ Seiko ต้องเผชิญในยุคนั้นก็คือ การที่แบรนด์ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีอาณาเขตอยู่บนเกาะจึงทำให้มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากมีความยากลำบากในการเดินทางเพื่อหาซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต แตกต่างจากแบรนด์นาฬิกาในประเทศคู่แข่งอย่าง Germany หรือ Switzerland ที่มีหมู่บ้านนาฬิกาและสามารถสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (eco-system) ของตัวเองได้ จึงง่ายต่อการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีแบรนด์คู่แข่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ

Kintaro Hattori เล็งเห็นปัญหาตรงส่วนนี้ และคิดว่าแบรนด์ยังไม่มีการแข่งขันเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ เลย ทำให้ในช่วงนี้ Seiko แบ่งออกเป็น 2 บริษัท คือ Grand Seiko เปิดตัวในปี 1960 โดยมีฐานการผลิตมาจากโรงงาน Suwa Seikosha และ King Seiko ที่เปิดตัวในปี 1961 มีฐานการผลิตมาจากโรงงาน Daini Seikosha ซึ่งจุดประสงค์ในการแยกทั้งสองแบรนด์ออกจากกัน ก็เพื่อสร้างการแข่งขันที่ดีอันนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และผลักดันให้บริษัทเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง

Chapter 2 - กำเนิด Caliber 44
ในปี 1961 ทาง Grand Seiko ได้ถือโอกาสเปิดตัวนาฬิกาเรือนแรกก่อน ด้วยรุ่น Grand Seiko Ref. 3180 และถัดมา 1 ปี โรงงาน Daini Seikosha ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาเรือนแรกของแบรนด์ King Seiko ด้วยรุ่น J14102 (ปี 1962) โดดเด่นด้วยโลโก้ King Seiko อยู่บนหน้าปัดบริเวณ 12 นาฬิกา และพิมพ์อักษร Diashock 25 Jewels บริเวณ 6 นาฬิกา ส่วนฝาหลังจะมีโลโก้แบบใหม่ที่มีช่องลายทางแนวตั้งวางซ้อนทับด้วยไม้กางเขนพร้อมสลักชื่อ King Seiko

King Seiko ยุคที่สอง (2nd Generation) ได้เริ่มมีการระบุชื่อกลไก หลังจากที่รุ่นแรกไม่มีชื่อ โดยกลไกนี้มาในชื่อ Caliber 44A ซึ่งเป็นกลไกต้นแบบที่มีความสำคัญมากที่สุด เดินด้วยความถี่ที่ 18,000 vph และถือว่าเป็นกลไกที่ทรงอิทธิพลมากในยุคนั้น ส่วนโลโก้บนหน้าปัด King Seiko จะเป็นแบบใหม่ คือ ด้านบนตรงบริเวณ 12 นาฬิกา จะพิมพ์อักษร Seiko และพิมพ์ King Seiko อยู่ด้านล่างบริเวณ 6 นาฬิกา โดดเด่นด้วยโลโก้ด้านหลังตัวเรือนที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ละแบบจะแตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม Caliber 44A ยังคงถูกพัฒนาต่อให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อยกระดับให้เป็นมาตรฐานความเที่ยงตรงระดับ Chronometer โดยรุ่นที่ได้มาตรฐาน Chronometer จะมาพร้อมฝาหลังแบบพิเศษเป็นโลโก้รูปสิงโตพร้อมกับสลักคำว่า SEIKO อยู่ด้านบนหัวสิงโต

นอกจากนี้แล้ว ในปัจจุบัน นาฬิการุ่น Chronometer ของ King Seiko ก็ได้กลายเป็นที่ต้องการของนักสะสมมากที่สุด เพราะมีการผลิตที่น้อย จึงทำให้กลายเป็นรุ่นที่หายากและมีราคาขายต่อที่สูง ยิ่งไปกว่านั้น กลไกโครโนมิเตอร์ ของ King Seiko ก็ได้ถูกนำมาต่อยอดเพื่อใช้กับนาฬิกาของ Grand Seiko ในปี 1966 ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของนาฬิกาในตำนานอย่าง Grand Seiko 44GS.

Chapter 3 - กำเนิดนาฬิกา Hi-Beat
ในยุค 60s เป็นครั้งแรกที่บริษัท Seiko ได้เข้าร่วมการทดสอบ Swiss Observatory Chronometry Trials ซึ่งทดสอบโดย หอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และเป็นสถาบันจัดลำดับความแม่นยำของระบบกลไกนาฬิกาสวิสฯ ตั้งอยู่ที่ Neuchâtel และ Geneva ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถือเป็นการรวมแบรนด์ระดับท็อปมาแข่งขันและจัดอันดับตามความแม่นยำ

โดยในปี ค.ศ. 1964 โรงงาน Daini Seikosha และ Suwa Seikosha ได้ส่งนาฬิกาของตนเองเข้าร่วมการตรวจสอบความแม่นยำและเที่ยงตรงจากสถาบัน Neuchâtel Astronomical Observatory โดยผลการทดสอบออกมาว่า นาฬิกาจาก Suwa Seikosha ได้ลำดับที่ 144 และ Daini Seikosha ได้ลำดับที่ 153 ซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังอย่างมาก จึงทำให้ทั้งสองแบรนด์เกิดแรงผลักดันโดยการนำบทเรียนครั้งใหญ่นี้กลับมาทำการบ้าน จนในที่สุดปี 1966 ทางแบรนด์ก็สามารถพัฒนากลไกใหม่ได้สำเร็จ จึงเกิดเป็นนาฬิกา Hi-Beat ที่มีความถี่สูงถึง 36,000 vph หลังจากนั้น Daini Seikosha และ Suwa Seikosha ก็ได้นำกลไกแบบ Hi-Beat มาทดสอบที่ Neuchâtel และผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจมาก เพราะครั้งนี้กลไก Hi Beat ของ Daini Seikosha ได้อันดับที่ 9 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการที่ทำให้กลไกเป็นแบบ Hi-Beat นั้น ส่งผลต่อความแม่นยำเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ทางแบรนด์ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ และยังคงมุ่งพัฒนากลไกที่มีความถี่สูงขึ้นไปอีก โดยในปี 1967 ทั้งสองแบรนด์ได้ส่งนาฬิกาเข้าร่วมการทดสอบอีกครั้ง ซึ่งผลออกมาว่านาฬิกาจาก Daini Seikosha ได้ลำดับที่ 4, 5, 7, 8 และ 13 ส่วนนาฬิกาจาก Suwa Seikosha ได้ลำดับที่ 12, 20 และ 25

หลังจากนั้น ทาง Dani Seikosha ก็ได้นำเทคโนโลยี Hi-Beat มาสร้างสรรค์กลไกขึ้นมาใหม่สำหรับ King Seiko โดยมีชื่อว่า Calibre 45 ซึ่งมีการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยใช้ความถี่ที่ 36,000 vph เนื่องจากทางแบรนด์ได้ค้นพบจากการแข่งขันว่ากลไกที่เดินด้วยความถี่ 36,000 vph นั้น ทำงานได้ดีกว่าเวอร์ชัน 72,000 vph

ซึ่ง Calibre 45 ที่กล่าวถึงนี้ ถูกนำไปพัฒนาต่อยอดเรื่อย ๆ จนทำให้กลไกมีความแม่นยำที่สูงมากอยู่ในระดับ 'AA' ที่ความหมายว่า A คือ (Chronometer) และ AA คือ (Superior Chronometer) โดยนาฬิกาเรือนที่มีความความแม่นยำระดับ AA จะมีการสลักด้วยคำว่า 'Superior Chronometer' อยู่บนหน้าปัดด้วย

แต่แล้วตำนานแห่งความแม่นยำก็ถูกปิดฉากลง เมื่อบริษัทแม่อย่าง Seiko ทำวงการนาฬิกาสั่นสะเทือนด้วยการออกนาฬิการะบบควอตซ์ หรือยุคที่เรียกว่า Quartz Crisis เป็นวิกฤตการณ์ที่ทำให้ผู้ผลิตนาฬิกาจักรกลต้องปิดตัวลง เนื่องจากผู้คนหันมาให้ความสนใจนาฬิกาใส่ถ่าน ที่มีความแม่นยำกว่าและราคาเข้าถึงง่าย ซึ่งแบรนด์ลูกอย่าง King Seiko และ Grand Seiko ก็หนี้ไม่พ้นวิกฤตนี้และต้องหยุดการผลิตลงในที่สุด

การกลับมาของ King Seiko ปัจจุบัน
หลังจากวิกฤติ Quartz แบรนด์ Seiko ก็เลือก Grand Seiko ให้ฟื้นคืนชีพกลับเข้าสู่ตลาดนาฬิกาในฐานะแบรนด์นาฬิกาหรูอีกครั้ง และแบรนด์ก็เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก ส่วนแบรนด์ King Seiko ยังคงเงียบไม่มีข่าวคราวใด ๆ เพราะหลังจากที่หยุดการผลิตไป 55 ปี ก็ออกนาฬิกา Limited Edition เพียง 2 ครั้งเท่านั้น โดยเรือนแรก คือ King Seiko SCVN001 ที่เป็นส่วนหนึ่งของ “Seiko Historical Collection of the Year 2000” และในปี 2021 ที่ผ่านมา King Seiko ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปี ของแบรนด์ Seiko โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Seiko 140th Anniversary Limited Edition Re-creation of King Seiko KSK”

ล่าสุดปี 2022 นี้เองที่ทางแบรนด์ Seiko ได้นำ King Seiko กลับเข้ามาอยู่ในการผลิตอีกครั้ง และเปิดตัวเป็นคอลเลกชันใหม่ของแบรนด์ โดยคอลเลกชันแรกนี้ประกอบด้วยนาฬิกาใหม่ 5 เรือน จะมีทั้งหมด 5 สี คือ หน้าปัดสีเงินตามรุ่นดั้งเดิม, สีเทาอ่อน, สีเทาชาร์โคล, สีน้ำตาล และสีแดง

ซึ่งการออกแบบนาฬิกาได้รับแรงบันดาลใจมาจาก King Seiko KSK รุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1965 จะเห็นได้จากการออกแบบรูปทรงที่เป็นไปตาม King Seiko ยุคที่ 2 (Ref.44-9990) โดยพื้นผิวจะเรียบ ตัวเรือนมีความคมชัด และมีเหลี่ยมมุมที่โดดเด่นให้ความรู้สึกร่วมสมัย อีกทั้งยังคงขนาดและความหนาที่ใกล้เคียงกับรุ่นดั้งเดิม ด้วยขนาดตัวเรือน 37 มิลลิเมตร หนา 12.1 มิลลิเมตร ตัวเรือนสเตนเลสสตีล โดดเด่นด้วยหลักชั่วโมงบริเวณ 12 นาฬิกา ที่มีลักษณะเป็นพีระมิดที่สวยงามตามแบบฉบับของนาฬิกาในปี 1965 มาพร้อมกลไกใหม่อัตโนมัติ In-House Caliber 6R31 เดินด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ส่วนฝาหลังก็เป็นแบบปิดทึบตามฉบับดั้งเดิม พร้อมตกแต่งด้วยตราสัญลักษณ์ King Seiko บริเวณฝาหลังและเม็ดมะยม ซึ่งเป็นดีไซน์ใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากตราสัญลักษณ์เดิมในปี 1965 มาพร้อมสายสเตนเลสสตีลที่คงความวินเทจของยุค 60s เอาไว้ และนอกจากสายสเตนเลสสตีลแล้ว ก็ยังมีสายหนังให้เลือกอีก 5 แบบที่ได้รับการดีไซน์เป็นพิเศษสำหรับนาฬิการุ่นนี้ เพื่อให้คงลุคที่วินเทจอีกเช่นกัน
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร