Seiko Watch Nicknames ที่มาของฉายานาฬิกา SEIKO | Auction House
Seiko Watch Nicknames ที่มาของฉายานาฬิกา SEIKO | Auction House
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร
Seiko แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีนาฬิกาหลากหลายรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนแฟน ๆ ได้ตั้งฉายาให้กับนาฬิการุ่นนั้น ๆ อย่างสร้างสรรค์ เป็นเหมือนชื่อเล่นที่แฟน ๆ ตั้งให้จากลักษณะภายนอกที่บ่งบอกคาแรกเตอร์ของคอลเลกชัน ซึ่งในครั้งนี้ เราจะพาทุกคนมาดูความเป็นมาของชื่อเล่นนาฬิกาในแต่ละรุ่น ว่ามีที่มาอย่างไรบ้าง

Story Of Tuna Can - ที่มาของชื่อเล่น Seiko Tuna ( ทูน่า )
เรื่องราวของ Seiko Tuna เริ่มต้นจากรุ่น 6159-7010 ซึ่งเป็นนาฬิกาสุดไอคอนิกที่มีตัวเรือนที่แปลกตา เปิดตัวครั้งแรกในปี 1975 ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การดำน้ำลึกแบบ Saturation Diving โดยเฉพาะ ซึ่งทาง Seiko ได้ออกแบบและพัฒนาตัวเรือนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นตัวเรือนจึงถูกออกแบบให้เป็นโครงสร้างแบบชิ้นเดียว มีปะเก็นที่มีลักษณะเป็นรูปตัว L ไม่มีฝาหลัง สามารถเปิดได้จากด้านหน้าเท่านั้น มีคุณสมบัติที่ช่วยให้ทนต่อแรงกระแทกและป้องกันน้ำเข้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ก็ได้กลายเป็นนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของโลกที่ใช้ตัวเรือนไทเทเนียม และสามารถดำน้ำลึกได้ถึง 600 เมตร

ส่วนที่มาขอชื่อ Tuna นั้น มาจากรูปแบบตัวเรือนที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ โดยตัวเรือนเป็นทรงกระบอกที่ใหญ่ถึง 51 มิลลิเมตร มีขอบหน้าปัดที่จมอยู่ในตัวเรือน เวลามองจากด้านข้างจะทำให้นึงถึงขอบกระป๋องปลา Tuna รวมถึงการที่เชื่อมต่อสายนาฬิกาเข้ากับตัวเรือนแบบไร้รอยต่อที่ไม่มี Lug ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของนาฬิกาดูคล้ายกับการเอากระป๋อง Tuna มาวางไว้บนข้อมือ และอีกจุดหนึ่งที่ทำให้นึกถึงกระป๋อง Tuna ก็คือ ด้วยความที่ตัวเรือนเป็นแบบ Monocase ไม่มีฝาหลัง เมื่อนำนาฬิกาไปเซอร์วิสก็จะต้องใช้วิธีเปิดกระจก เพื่อนำเครื่องออกมา ซึ่งเหมือนกับการเปิดฝากระป๋องเพื่อเอาเนื้อปลาออกมานั่นเอง ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นที่มาของชื่อเรียกที่ว่า Tuna Can

ซึ่งในปัจจุบัน Seiko Tuna ก็ถือเป็นนาฬิกาดำน้ำเรือธงของ Seiko ที่ไอคอนิก อยู่ในคอลเลกชัน Prospex ที่มีหลายรุ่นออกมาสู่ตลาด และมีชื่อเล่นอย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น รุ่นแรกที่ออกมาก็จะมีฉายาว่า Grandfather Tuna (ref - 6159-7010) หรือ รุ่นที่เป็นกลไก Quartz ตัวเรือนสีทองก็จะถูกเรียกว่า "Golden Tuna" เป็นต้น

Story Of Turtle - ที่มาของ ชื่อเล่น Seiko Turtle ( เต่า )
Seiko Turtle ถือว่าเป็นหนึ่งในคอลเลกชันนาฬิกาดำน้ำที่เก่าแก่อีกรุ่น เพราะเปิดตัวครั้งแรกในปี 1976 มาพร้อมชื่อหมายเลขอ้างอิง 6306-7000/1 โดยทางแบรนด์ตั้งใจสร้างสรรค์ Seiko Turtle มาเพื่อเสริมคอลเลกชันนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำโดยเฉพาะ และก็ถูกผลิตมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 1976 จนถึงปี 1988 ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเรือนจะเป็นทรงคุชชั่นที่สามารถกันกระแทกได้เป็นอย่างดี ซึ่งการออกแบบนี้เองนี้ ทำให้นาฬิการุ่นนี้ได้กลายเป็นรุ่นยอดนิยมในหมู่นักดำน้ำที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างของตัวเรือนที่มีความทนทาน

สำหรับฉายาที่ถูกเรียกว่า "Turtle" มาจากการที่นาฬิการุ่นนี้ มีตัวเรือนสเตนเลสสตีลทรงคุชชั่นขนาดใหญ่ 45 มิลลิเมตร ยาว 48 มิลลิเมตร มาพร้อมเม็ดมะยมขนาดใหญ่อยู่ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา ที่ฝังอยู่ในตัวเรือนเพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดมะยมเคลื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งหากมองโดยรวมแล้วนั้น รูปทรงของตัวเรือนจะมีลักษณะคล้ายกับรูปทรงกระดองเต่าที่ปกคลุมตัวของเต่าอยู่ แล้วถ้ามองจากมุมสูงก็จะเห็นหมือนเต่าที่นอนราบอยู่บนพื้น แต่หากมองจากด้านข้างก็จะเห็นเหมือนมีกระดองเต่าครอบอยู่ และหากพลิกกลับมาด้านหลังของตัวเรือน ก็จะเห็นทรงโค้งของตัวเรือนและขานาฬิกา ที่ทำให้ภาพรวมเหมือนกับเต่าเช่นกัน เรียกได้ว่าทุกสัดส่วนของนาฬิกานี้มีภาพลักษณ์ของเต่าติดมาด้วยในทุกมิติ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2016 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ได้นำดีไซน์วินเทจสุดคลาสสิกของ Turtle กลับมาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวนาฬิกาภายใต้คอลเลกชัน Prospex และในปัจจุบันก็ได้ออกนาฬิกามาหลากหลายรุ่น เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่ อีกทั้งยังได้รับฉายาใหม่ด้วย เช่น "King Turtle" หรือแม้แต่ "Ninja Turtle" จากซีรีส์ Prospex “Black Series”

Story Of Monster - ที่มาของ ชื่อเล่น Seiko Monster ( มอนสเตอร์ )
นาฬิกาที่ได้รับฉายาว่า "Monster" ก็คือ SEIKO Diver’s 200M ที่เปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 2000 มาในชื่อรหัส SKX779K (หน้าปัดสีดำ) และ SKX781K (หน้าปัดสีส้ม) ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ออกมาภายใต้ซีรีส์ Seiko 5 โดยจะมีคุณสมบัติทั่วไป 5 อย่าง นั่นก็คือ มีกลไกอัตโนมัติ, ฟังก์ชันวันและวันที่, การกันน้ำลึกถึง 200 เมตร, เม็ดมะยมที่ฝังในตัวเรือนอยู่ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา อีกทั้งมาพร้อมตัวเรือนและสายที่ทนทานแข็งแกร่ง

ส่วนที่มาของชื่อ “Monster” นั้น มาจากตัวเรือนที่บึกบึนและหน้าตาที่ดุดัน ทำให้เหมือนสัตว์ประหลาดหลายตัวผสมอยู่ ซึ่งหากมองจากด้านบนก็จะเห็นเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดที่อ้าปากกว้างและแยกเขี้ยวอยู่ ส่วนเข็มชั่วโมงก็จะดูเหมือนกรงเล็บ แต่หากมองไปด้านข้างของตัวเรือนจะคล้ายกับซี่ฟันอันแหลมคมของไดโนเสาร์ ส่วนเส้นสายต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณรอบหน้าปัดก็ทำให้นึกถึงเอฟเฟกต์ของมังงะ ที่เป็นเหมือนแสงแผ่กระจายไปรอบ ๆ ซึ่งดูมีพลังและมีอำนาจ สมกับฉายา Monster อย่างแท้จริง

โดยในปัจจุบัน Seiko Monster ได้ถูกต่อยอดนำมาอยู่ในคอลเลกชันหลักอย่าง Prospex และได้มีการผลิตออกมาให้อยู่ในซีรีส์ต่าง ๆ อีกหลากหลายรุ่น อาทิ รุ่นปัจจุบันที่วางขายอยู่อย่าง Save the ocean SRPG57K ที่เพิ่มลูกเล่นตามคอนเซ็ปต์ของรุ่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น พื้นผิวของน้ำแข็งและรอยเท้าของเพนกวินอันโดดเด่น ที่ทำให้หน้าปัดของนาฬิกามีเอกลักษณ์อย่างสวยงาม

Story Of Samurai - ที่มาของ ชื่อเล่น Seiko Samurai ( ซามูไร )
สำหรับฉายา "Samurai" นั้น ได้กำเนิดขึ้นในปี 2004 โดยที่ Seiko Samurai รุ่นแรก จะมีตัวเรือนเป็นไทเทเนียม ขนาด 42 มิลลิเมตร หลังจากนั้นจึงได้ผลิตรุ่นที่เป็นตัวเรือนสเตนเลสสตีลมาขาย โดยรูปลักษณ์ภายนอกของนาฬิกาจะดูใหญ่และแข็งแกร่ง ที่สำคัญคือ มีความโดดเด่นอยู่ที่ขอบหน้าปัดและเม็ดมะยมที่ถูกสลักเป็นลวดลายข้าวหลามตัด ซึ่งจะช่วยให้ง่ายต่อการจับเพื่อใช้งานได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่มาของชื่อ "Samurai" ไม่ได้มาจากลักษณะหน้าตาของนาฬิกาที่เหมือนกับ Samurai แต่มาจากรูปร่างและเส้นสายของนาฬิกา ที่มีความคมราวกับโดนดาบญี่ปุ่นนั้นเฉือนออก ให้ความรู้สึกล้ำยุคที่ไม่ธรรมดา และแตกต่างจากนาฬิกาดำน้ำโดยทั่วไป ซึ่งจะเห็นได้จากการออกแบบที่มีการเล่นเส้นสายเป็นเส้นตรงและองศาที่ดูคมเป็นพิเศษ ทำให้มีเหลี่ยมคมที่ชัดเจนในทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น บริเวณผิวของขานาฬิกาที่มีองศาอันแหลมคมจนดูเหมือนถูกตัดด้วยดาบของ "Samurai " ส่วนที่สองก็คือรูปทรงของเข็มนาฬิกาที่มีลักษณะคล้ายกับดาบ และส่วนสุดท้ายก็คือ ลวดลายสลักข้าวหลามตัดที่อยู่บริเวณเม็ดมะยมและด้านข้างของขอบตัวเรือน ซึ่งลวดลายนี้เองที่คล้ายกับลายบนด้ามดาบคาตานะของซามูไร และทั้งหมดนี้ก็สื่อถึงความเป็นญี่ปุ่น และบ่งบอกถึงความเป็น Samurai ได้เป็นอย่างดี

และทั้งหมดนี้ก็สื่อถึงความเป็นญี่ปุ่น และบ่งบอกถึงความเป็น Samurai ได้เป็นอย่างดี โดยในปัจจุบันทางแบรนด์ Seiko ก็ได้ออกนาฬิกา Seiko Samurai มากกว่า 20 รุ่น ให้เหล่าแฟนคลับได้เก็บสะสมกัน และในปี 2020 นี้ ทาง Seiko ก็ได้อัปเกรดคอลเลกชัน Samurai ให้มีความพรีเมียมมากขึ้นไปอีก ซึ่งอยู่ภายใต้คอลเลกชัน Prospex พร้อมกับฉายาใหม่ "King Samurai"

Story Of Sumo - ที่มาของ ชื่อเล่น Seiko Sumo ( ซูโม่ )
นาฬิกาที่ได้รับฉายาว่า "Monster" ก็คือ SEIKO Diver’s 200M ที่เปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 2000 มาในชื่อรหัส SKX779K (หน้าปัดสีดำ) และ SKX781K (หน้าปัดสีส้ม) ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ออกมาภายใต้ซีรีส์ Seiko 5 โดยจะมีคุณสมบัติทั่วไป 5 อย่าง นั่นก็คือ มีกลไกอัตโนมัติ, ฟังก์ชันวันและวันที่, การกันน้ำลึกถึง 200 เมตร, เม็ดมะยมที่ฝังในตัวเรือนอยู่ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา อีกทั้งมาพร้อมตัวเรือนและสายที่ทนทานแข็งแกร่ง

ส่วนที่มาของชื่อ “Monster” นั้น มาจากตัวเรือนที่บึกบึนและหน้าตาที่ดุดัน ทำให้เหมือนสัตว์ประหลาดหลายตัวผสมอยู่ ซึ่งหากมองจากด้านบนก็จะเห็นเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดที่อ้าปากกว้างและแยกเขี้ยวอยู่ ส่วนเข็มชั่วโมงก็จะดูเหมือนกรงเล็บ แต่หากมองไปด้านข้างของตัวเรือนจะคล้ายกับซี่ฟันอันแหลมคมของไดโนเสาร์ ส่วนเส้นสายต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณรอบหน้าปัดก็ทำให้นึกถึงเอฟเฟกต์ของมังงะ ที่เป็นเหมือนแสงแผ่กระจายไปรอบ ๆ ซึ่งดูมีพลังและมีอำนาจ สมกับฉายา Monster อย่างแท้จริง

โดยในปัจจุบัน Seiko Monster ได้ถูกต่อยอดนำมาอยู่ในคอลเลกชันหลักอย่าง Prospex และได้มีการผลิตออกมาให้อยู่ในซีรีส์ต่าง ๆ อีกหลากหลายรุ่น อาทิ รุ่นปัจจุบันที่วางขายอยู่อย่าง Save the ocean SRPG57K ที่เพิ่มลูกเล่นตามคอนเซ็ปต์ของรุ่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น พื้นผิวของน้ำแข็งและรอยเท้าของเพนกวินอันโดดเด่น ที่ทำให้หน้าปัดของนาฬิกามีเอกลักษณ์อย่างสวยงาม

Story Of Shogun - ที่มาของ ชื่อเล่น Seiko Shogun ( โชกุน )
Seiko Shogun เป็นนาฬิกาน้องใหม่ในตระกูล Seiko Prospex อยู่ภายใต้คอลเลกชัน Seiko diver’s watch นาฬิกาดำน้ำที่มีน้ำหนักเบาที่สุดของ Seiko ซึ่งถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 โดยรุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาก็คือ reference SBDC007 หน้าปัดสีดำ และ SBDC009 หน้าปัดสีส้ม ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ใช้วัสดุตัวเรือนเป็นไทเทเนียมที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่ง และทนทาน ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไก Caliber 6R15

ในส่วนของที่มาของฉายา "Shogun" มาจากการที่นาฬิการุ่นนี้มีรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งคล้ายกับชุดเกราะของท่านโชกุน สังเกตได้จากรูปร่างของข้อต่อที่ใช้กับสายนาฬิกาจะถูกต่อเข้าด้วยกันเป็นมุมในลักษณะที่เรียกว่า ยาบาเนะ (ลูกศรขนนก) ทำให้นึกถึงอาวุธและชุดเกราะของโชกุน ซึ่งจะแตกต่างจากนาฬิกาส่วนใหญ่ที่เป็นแบบเส้นตรง นอกจากนี้แล้ว รอยบากสามเหลี่ยมตรงขอบตัวเรือนก็มีความคล้ายกับเครื่องประดับบนหมวกของโชกุน ซึ่งการดีไซน์ขอบตัวเรือนแบบนี้เองที่ช่วยให้สามารถหมุนขอบหน้าปัดได้อย่างมั่นคง และในส่วนของพื้นผิวสายนาฬิกาก็ถูกขัดแต่งอย่างประณีต ทำให้ภาพรวมของนาฬิการุ่นนี้ชวนให้นึกถึงชุดเกราะที่โชกุนสวมใส่ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม นาฬิกา Shogun ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็น Generation ที่ 2 ที่ยังคงดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของโชกุนไว้ได้ในทุกรายละเอียด และในปี 2020 ที่ผ่านมานี้ ทางแบรนด์ก็ได้มีการปรับโฉมนาฬิกา Seiko Prospex Diver’s Shogun โดยเปลี่ยนหลักชั่วโมงให้เป็นทรงเขี้ยวแบบแท่งสามเหลี่ยม และมีสีสันที่แปลกใหม่ แต่ยังคงรูปทรงตัวเรือนไทเทเนียมอันเป็นอัตลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้ไว้เช่นเดิม และสำหรับ Seiko Shogun รุ่นใหม่นี้ มีให้เลือก 2 แบบ คือ หน้าปัดสีดำในรหัส SPB189J และหน้าปัดสีขาวรหัส SPB191J มาพร้อมการกันน้ำลึก 200 เมตร ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไก Automatic Cal.6R35 ที่สามารถสำรองพลังงานได้นานขึ้นเป็น 70 ชั่วโมง เช่นเดียวกับ "King Sumo"

Story Of Panda - ที่มาของ ชื่อเล่น Seiko Panda ( แพนด้า )
ปิดท้ายด้วยนาฬิกาโครโนกราฟรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง Seiko กับรุ่น Prospex Speedtimer Solar ที่เพิ่งถูกเปิดตัวไปในปี 2021 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาที่ใช้จับเวลาการแข่งขันระดับโลกอย่างโอลิมปิก จนพัฒนามาเป็นนาฬิกาข้อมือ Speedtimer เรือนแรกในปี 1969

Speedtimer Solar ถือเป็นการสร้างสรรค์นาฬิกาจับเวลากลไกโครโนกราฟ ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น มีขนาดตัวเรือนอยู่ที่ 39 มิลลิเมตร หลักชั่วโมงจะมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมชิ้นหนา มาพร้อม Tachymeter มาตรวัดความเร็วที่ขอบตัวเรือน ซึ่งทางแบรนด์ Seiko ได้ผสานรูปลักษณ์ของนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟเข้ากับกลไกโซล่าอันล้ำสมัยได้อย่างลงตัว ทำงานด้วยไฟฟ้าจากตัวเก็บประจุที่แปรพลังงานมาจากแสง ซึ่งจะรับแสงผ่านกรอบหน้าปัดย่อย 3 วง ตัวเรือนจะเป็นสเตนเลสสตีลที่มีความคลาสสิก พร้อมกระจกหน้าปัดแบบแซฟไฟร์ทรงโค้งที่เคลือบสารกันสะท้อน โดยรวมแล้วทำให้นาฬิการุ่นนี้ดูทันสมัยเป็นอย่างมาก

ส่วนที่มาของชื่อ Panda นั้น มาจากรูปลักษณ์ของนาฬิกา Speedtimer ของรุ่นที่มีพื้นหน้าปัดสีขาวและมีหน้าปัดย่อยสีดำ เรียงตัวกันที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา 6 นาฬิกา และ 9 นาฬิกา ทำให้เกิดรูปร่างเค้าโครงคล้ายกับหน้าของหมีแพนด้าที่มีขนสีขาวทั่วใบหน้า แต่มีการแต่งแต้มสีดำที่บริเวณตา และตำแหน่งจมูกกับปาก โดยชื่อเล่นของนาฬิกาที่ถูกเรียกว่าหมีแพนด้านั้น มักจะมาพร้อมกับคอลเลกชันนาฬิกาโครโนกราฟที่มีฟังก์ชันการจับเวลา เพราะนาฬิกาที่มีฟังก์ชันนี้จะมีการจัดวางหน้าปัดย่อย อันเป็นที่มาของฉายา Panda นั่นเอง

โดยในปัจจุบัน ทางแบรนด์ Seiko ได้เปิดตัวนาฬิกา Prospex Speedtimer Solar รุ่นใหม่ล่าสุด 2022 ที่ปรับตัวเรือนให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 39 เป็น 41.4 มิลลิเมตร มาพร้อมหน้าปัด 3 สีใหม่ และยังคงใช้กลไกแบบ Solar เหมือนเดิม คงความเป็นนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟกับกลไกโซล่าอันล้ำสมัยได้อย่างครบเครื่อง
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร